สวัสดีเพื่อนชาวราชินีบูรณะรุ่น 91 ทุกคน จบม.6 กันแล้ว สบายดีกันใช่ไหม ก่อนที่จะรู้ผลคะแนน O-NET และ GAT PAT เรามีบทความมาผ่อนคลายให้หายเครียด วันนี้เริ่มเลยกันที่เรื่อง 5 อันดับคณะที่เรียนจบแล้วหางานง่าย สุดๆ ^_^
โดยการจัดอันดับในครั้งนี้ทาง สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ที่ไปสำรวจถามความเห็นของพี่ๆนิสิตนักศึกษา นายจ้าง ผู้ปกครอง และครูอาจารย์ ว่าคณะไหนที่เรียนแล้ว หางานง่ายที่สุด ซึ่งก็ได้คำตอบมาดังนี้..
- อันดับ 1 แพทย์ / พยาบาล ร้อยละ 27.55
- อันดับ 2 คอมพิวเตอร์ ร้อยละ 25.62
- อันดับ 3 บัญชี / การตลาด ร้อยละ 18.59
- อันดับ 4 บริหาร / การจัดการ ร้อยละ 16.70
- อันดับ 5 นิติศาสตร์ / รัฐศาสตร์ ร้อยละ 11.54
เอาล่ะ.. บางทีความเป็นจริงกับความฝันมันก็สวนทางกันนะ..มีเพื่อนหลายคนที่เรียนในคณะที่ถูกมองว่า “ตกงานชัวร” แต่เขาก็เลือกเรียนเพราะใจรัก และอยากเรียน จนท้ายที่สุดก็เรียนจบ และได้ทำงานตามที่เรียนมา ทุกวันนี้ชีวิตแฮปปี้สุดๆ
ปล.เฮ้อ เราอยากเรียนบัญชีเนอะ แต่ตกเลขง่ะ ทำไงดีดี
วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553
ข้อสอบโอเน็ตแบบฮาฮา
เมื่อผู้นำเยอรมันต้องสอบโอเน็ต ฮาฮานะ ไม่ต้องคิดมาก
ปล.มีคำไม่เหมาะสมก็ขออภัยด้วยแหละกันนะจ๊ะ
เมื่อคุณสรยุทธิ์ฉะข้อสอบโอเน็ต
เมือคุณสรยุทธิ์อยากร้องไห้เมื่อเห็นข้อสอบโอเน็ต
ฮานะเพื่อน
วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ทำไมต้อง "จุดประทัด" วันตรุษจีน
ปั๊ง...ปั๊ง....ปั๊ง...ง...ง!! เสียงประทัดดังรัวมาแต่ไกล
ช่วงเทศกาลตรุจจีนทีไร...เรามักจะได้ยินเสียงแบบนี้เป็นประจำจนกลายเป็นความเคยชินไปซะแล้ว แต่...เพื่อนๆเคยสงสัยกันบ้างหรือเปล่าล่ะจ๊ะว่าทำไมถึงจุดประทัดวันตรุษจีนมีประวัติความเป็นมาและความหมายอย่างไรกันหนอ...วันนี้เพื่อนๆ คงจะต้องร้องอ๋อ เพราะเรามีคำตอบมาให้แล้วจ้า
ในสมัยโบราณที่ประเทศจีนมีตัวประหลาดเรียกว่า "ซาน เซียว" รูปร่างคล้ายคนแคระแต่วิ่ง เร็วมาก ทุกปีเวลาใกล้ปีใหม่ตัวซานเซียวจะมาโขมยของกินในหมู่บ้าน ชาวบ้านจะวิ่งขับไล่แต่ไม่ทัน หรือถ้าทันจับตัวซานเซียวได้ ผู้ที่จับต้องตัววานเซียวก็จะเจ็บป่วยทำให้คนไม่กล้าสู้กับตัวซาน เซียว วันหนึ่งชาวบ้านออกไปตัดไม้ไผ่ และหุงข้าวโดยเอาปล้องไม้ไผ่เป็นฟืนระหว่างที่กำลังหุง ข้าวอยู่นั้น ตัวซานเซียวกลุ่มหนึ่งก็มาพบและตรงเข้ามาจะหยิบข้าวของกิน ชาวบ้านต่างตกตะลึง ด้วยความกลัว ทันใดนั้นปล้องไม้ไผ่ที่โดนไฟก็ประทุระเบิดเสียงดัง ตัวซานเซียวทั้งกลุ่มสะดุ้งตกใจพากันหยุดนิ่งไม่กล้าเข้ามา ชาวบ้านจึงโยนปล้องไม้ไผ่เข้าที่กองไฟอีก เกิดเสียงปล้อง ไม้ไผ่แตกดัง เป็นระยะๆ พวกซานเซียวก็พากันวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัว
ตั้งแต่นั้นมาเมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ที่พวกตัวซานเซียวจะลงมาขโมยของกิน ชาวบ้านก็จัดหาปล้องไม้ไผ่ไว้เป็นจำนวนมากและเอาใส่กองไฟเพื่อให้เกิดเสียงประทุดังขับไล่พวกซานเซียว
ต่อมาก็ได้มีการนำดินประสิวบรรจุในปล้องไม้ไผ่เล็กๆ แล้วนำไปเผาไฟเพื่อให้ระเบิดแล้วเป็น ควัน เพื่อขับไล่ตัวซานเซียวและภูตผีร้ายตลอดจนสรรพโรคภัยต่างๆ และมักจุดในช่วงเทศกาลปีใหม่
ช่วงเทศกาลตรุจจีนทีไร...เรามักจะได้ยินเสียงแบบนี้เป็นประจำจนกลายเป็นความเคยชินไปซะแล้ว แต่...เพื่อนๆเคยสงสัยกันบ้างหรือเปล่าล่ะจ๊ะว่าทำไมถึงจุดประทัดวันตรุษจีนมีประวัติความเป็นมาและความหมายอย่างไรกันหนอ...วันนี้เพื่อนๆ คงจะต้องร้องอ๋อ เพราะเรามีคำตอบมาให้แล้วจ้า
ในสมัยโบราณที่ประเทศจีนมีตัวประหลาดเรียกว่า "ซาน เซียว" รูปร่างคล้ายคนแคระแต่วิ่ง เร็วมาก ทุกปีเวลาใกล้ปีใหม่ตัวซานเซียวจะมาโขมยของกินในหมู่บ้าน ชาวบ้านจะวิ่งขับไล่แต่ไม่ทัน หรือถ้าทันจับตัวซานเซียวได้ ผู้ที่จับต้องตัววานเซียวก็จะเจ็บป่วยทำให้คนไม่กล้าสู้กับตัวซาน เซียว วันหนึ่งชาวบ้านออกไปตัดไม้ไผ่ และหุงข้าวโดยเอาปล้องไม้ไผ่เป็นฟืนระหว่างที่กำลังหุง ข้าวอยู่นั้น ตัวซานเซียวกลุ่มหนึ่งก็มาพบและตรงเข้ามาจะหยิบข้าวของกิน ชาวบ้านต่างตกตะลึง ด้วยความกลัว ทันใดนั้นปล้องไม้ไผ่ที่โดนไฟก็ประทุระเบิดเสียงดัง ตัวซานเซียวทั้งกลุ่มสะดุ้งตกใจพากันหยุดนิ่งไม่กล้าเข้ามา ชาวบ้านจึงโยนปล้องไม้ไผ่เข้าที่กองไฟอีก เกิดเสียงปล้อง ไม้ไผ่แตกดัง เป็นระยะๆ พวกซานเซียวก็พากันวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัว
ตั้งแต่นั้นมาเมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ที่พวกตัวซานเซียวจะลงมาขโมยของกิน ชาวบ้านก็จัดหาปล้องไม้ไผ่ไว้เป็นจำนวนมากและเอาใส่กองไฟเพื่อให้เกิดเสียงประทุดังขับไล่พวกซานเซียว
ต่อมาก็ได้มีการนำดินประสิวบรรจุในปล้องไม้ไผ่เล็กๆ แล้วนำไปเผาไฟเพื่อให้ระเบิดแล้วเป็น ควัน เพื่อขับไล่ตัวซานเซียวและภูตผีร้ายตลอดจนสรรพโรคภัยต่างๆ และมักจุดในช่วงเทศกาลปีใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
สูตรคณิตศาสตร์หลักขั้นพื้นฐานควรจดจำ
กราบสวัสดีเพื่อนๆสายศิลป์ฝรั่งเศสทุกคนนนนนนนนะจร้า พูดถึงวิชาคณิตศาสตร์แล้วเด็กศิลป์อย่างเราก็คงจะปวดหัวเอามากกกกกกแน่นอน เพราะเด็กศิลป์กับการคำนวณไม่ใช่ของคู่กัน แต่จะว่าไปแล้ว คณิตศาสตร์ก็จำเป็นสำหรับชีวิตเรามากกกกเหมือนกัน ไม่ว่าจะบวก ลบ คูณ หาร เราต้องทำได้ หรือแม้แต่แก้สมการ เราก็ต้องแก้ได้จริงไหมมมม วันนี้เรามีสูตรเลขเล็กๆน้อยๆๆมาฝากเพื่อนๆๆนะ อาจจะต้องใช้ความจำ ความเข้าใจ และการฝึกทำโจทย์บ่อยๆนะ เพราะการเก่งเลขเราต้องทำโจทย์บ่อยยยย (อ.ที่ร.ร.บอกไว้อย่างงี้อ่า) ไปเริ่มท่องกันเลยดีกว่า
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน 1 = 0.5 x เส้นทเเยงมุมxผลบวกของเส้นกิ่ง
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน 2 = สูง x ฐาน
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส 1 = ด้าน x ด้าน
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส 2 = 0.5 x ผลคูณเส้นทเเยงมุม
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมด้านขนมเปียกปูน 1 = สูง x ฐาน
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมด้านขนมเปียกปูน 2 = 0.5 x ผลคูณเส้นทเเยงมุม
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมรูปว่าว = 0.5 x ผลคูณเส้นทเเยงมุม
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมคางหมู = 0.5 x ความสูง x ผลบวกของด้านคู่ขนาน
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า = 0.5 x เส้นทเเยงมุม x ผลบวกของเส้นกิ่ง
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า = กว้าง x ยาว
สูตรฝาสี่ด้าน = 2 x สูง x(กว้าง + ยาว)
สูตรหาความยาวรอบรูป จ ป = ด้าน x ด้าน
สูตรหาความยาวรอบรูป ผ ว ข = 2 x(กว้าง + ยาว)
สูตรพื้นที่รูปสามเหลี่ยม = 0.5 x ฐาน x สูง
สูตรพื้นที่วงกลม = pr2
สูตรหาความยาวรอบรูปวงกลม = pd
สูตรหาความยาวรอบรูปครึ่งวงกลม = pr+d
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน 1 = 0.5 x เส้นทเเยงมุมxผลบวกของเส้นกิ่ง
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน 2 = สูง x ฐาน
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส 1 = ด้าน x ด้าน
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส 2 = 0.5 x ผลคูณเส้นทเเยงมุม
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมด้านขนมเปียกปูน 1 = สูง x ฐาน
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมด้านขนมเปียกปูน 2 = 0.5 x ผลคูณเส้นทเเยงมุม
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมรูปว่าว = 0.5 x ผลคูณเส้นทเเยงมุม
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมคางหมู = 0.5 x ความสูง x ผลบวกของด้านคู่ขนาน
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า = 0.5 x เส้นทเเยงมุม x ผลบวกของเส้นกิ่ง
สูตรพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า = กว้าง x ยาว
สูตรฝาสี่ด้าน = 2 x สูง x(กว้าง + ยาว)
สูตรหาความยาวรอบรูป จ ป = ด้าน x ด้าน
สูตรหาความยาวรอบรูป ผ ว ข = 2 x(กว้าง + ยาว)
สูตรพื้นที่รูปสามเหลี่ยม = 0.5 x ฐาน x สูง
สูตรพื้นที่วงกลม = pr2
สูตรหาความยาวรอบรูปวงกลม = pd
สูตรหาความยาวรอบรูปครึ่งวงกลม = pr+d
วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553
ครูเปรียบเสมือนเรือจ้าง จริงเหรอ??
"ครู”เป็นอาชีพที่คอยให้ความรู้กับลูกศิษย์ โดยที่ท่านไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน และในวันเสาร์ที่ 16 มกราคมนี้ ถือว่าเป็น “วันครูแห่งชาติ”ดังนั้นในวันนี้ำพี่ปัดจึงขอเปรียบเทียบหน้าที่ของครูกับเรือ เพื่อให้เข้ากับประโยคที่ว่า “ครูเปรียบเสมือนเรือจ้าง”งั้นอย่ารอช้าไปเริ่มต้นกันที่....
เข็มทิศ >> เรือทุกลำล้วนแล้วแต่ต้องมีเข็มทิศประจำเรือ เพื่อจะได้รู้ทิศรู้ทางที่กำลังจะแล่นไป เปรียบเสมือนครู ที่จะต้องวางแผนการเรียนการสอนวิชาต่างๆ เพื่อให้เหมาะสมกับลูกศิษย์ นอกจากนี้ ครูยังเป็นผู้คอยสรรหาสิ่งดี และเป็นประโยชน์มาให้กับลูกศิษย์อยู่เสมอ
ฝีพาย >> เมื่อมีการวางแผนการเรียนการสอนเป็นที่เรียบร้อย ครูก็จะนำความรู้ และประสบการณ์ต่างๆ ที่ตัวเองสั่งสมมานาน นำมาสั่งสอนลูกศิษย์ เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้นำความรู้เหล่านั้นไปเป็นพื้นฐานความรู้ในการดำรงชีวิต และเป็นแนวทางสำหรับหนทางการมุ่งสู่ความสำเร็จในอนาคต
กัปตันเรือ >> การอยู่ร่วมกันของคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือโรงเรียนต่างจำเป็นต้องมีข้อกำหนดกฏเกณฑ์ขึ้นมา เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและมีความสุข สำหรับในโรงเรียนนั้น ครูก็จะเป็นผู้ที่คอยตรวจดูความเรียบร้อยต่างๆ คอยอบรม ตักเตือนในยามที่ลูกศิษย์อาจจะทำผิดโดยไม่รู้ตัว คอยเป็นกำลังใจเมื่อเราท้อถอย และเป็นแรงผลักดันเพื่อให้เราประสบความสำเร็จ
หางเสือ >> เป็นกลไกในการขับเคลื่อนของเรือ เปรียบได้กับคุณครู ที่จะคอยเป็นแรงผลักดัน และกระตุ้นให้ลูกศิษย์ตื่นตัว และสนใจอยากที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวอยู่เสมอ ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณครูทำลงไป ไม่ว่าจะดุ จะเคี่ยวเข็ญสักเพียงไหน นั่นก็เป็นเพราะอยากให้ลูกศิษย์ของท่านรู้จักรับผิดชอบ และมีทางที่เดินที่ดีในภายภาคหน้า
เข็มทิศ >> เรือทุกลำล้วนแล้วแต่ต้องมีเข็มทิศประจำเรือ เพื่อจะได้รู้ทิศรู้ทางที่กำลังจะแล่นไป เปรียบเสมือนครู ที่จะต้องวางแผนการเรียนการสอนวิชาต่างๆ เพื่อให้เหมาะสมกับลูกศิษย์ นอกจากนี้ ครูยังเป็นผู้คอยสรรหาสิ่งดี และเป็นประโยชน์มาให้กับลูกศิษย์อยู่เสมอ
ฝีพาย >> เมื่อมีการวางแผนการเรียนการสอนเป็นที่เรียบร้อย ครูก็จะนำความรู้ และประสบการณ์ต่างๆ ที่ตัวเองสั่งสมมานาน นำมาสั่งสอนลูกศิษย์ เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้นำความรู้เหล่านั้นไปเป็นพื้นฐานความรู้ในการดำรงชีวิต และเป็นแนวทางสำหรับหนทางการมุ่งสู่ความสำเร็จในอนาคต
กัปตันเรือ >> การอยู่ร่วมกันของคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือโรงเรียนต่างจำเป็นต้องมีข้อกำหนดกฏเกณฑ์ขึ้นมา เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและมีความสุข สำหรับในโรงเรียนนั้น ครูก็จะเป็นผู้ที่คอยตรวจดูความเรียบร้อยต่างๆ คอยอบรม ตักเตือนในยามที่ลูกศิษย์อาจจะทำผิดโดยไม่รู้ตัว คอยเป็นกำลังใจเมื่อเราท้อถอย และเป็นแรงผลักดันเพื่อให้เราประสบความสำเร็จ
หางเสือ >> เป็นกลไกในการขับเคลื่อนของเรือ เปรียบได้กับคุณครู ที่จะคอยเป็นแรงผลักดัน และกระตุ้นให้ลูกศิษย์ตื่นตัว และสนใจอยากที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวอยู่เสมอ ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณครูทำลงไป ไม่ว่าจะดุ จะเคี่ยวเข็ญสักเพียงไหน นั่นก็เป็นเพราะอยากให้ลูกศิษย์ของท่านรู้จักรับผิดชอบ และมีทางที่เดินที่ดีในภายภาคหน้า
วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553
Happy New Year 2010
สวัสดีปีใหม่เพื่อนชาวศิลป์ฝรั่งเศสราชินีบูรณะทุกคน ปีใหม่แล้วเราก็ขอให้เพื่อนทุกคนมีความสุข รวย รวย รวย และขอให้สอบตรงติดมนคณะที่ต้องการกันทั่วหน้าเลยนะจ๊ะ อะไรที่ผิดพลาดก็ทิ้งมันไปแล้วเริ่มใหม่นะจ๊ะ และอย่าลืมอ่านหนังสือสอบกลางภาคกันด้วยนะ เพราะเปิดเรียนเราก็สอบกันเลย อิอิ อย่าเที่ยวเพลินล่ะ
ปีใหม่ปีนี้สำหรับเราก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอก ก็แค่กลับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่ตจว.เท่านั้นเอง ไม่ได้ไปเที่ยวเลยยยยย คนเยอะมากกกกกกส์ อีกไม่กี่เดือนก็สอบโอเน็ตแล้วนะ
เราได้ข่าวมาว่าเค้าจะเปลี่ยนข้อสอบใหม่ซะด้วย รุ่นเรานี้หนูทดลองจริงงงงง ยังไงก็สู้สู้นะจ๊ะ
อย่าเพิ่งท้อแท้ กับการแรงของเจ๊อุทุมพร อิอิ
Joyeux Noël 2009 et Bonne et Heureuse Année 2010
ปีใหม่ปีนี้สำหรับเราก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอก ก็แค่กลับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่ตจว.เท่านั้นเอง ไม่ได้ไปเที่ยวเลยยยยย คนเยอะมากกกกกกส์ อีกไม่กี่เดือนก็สอบโอเน็ตแล้วนะ
เราได้ข่าวมาว่าเค้าจะเปลี่ยนข้อสอบใหม่ซะด้วย รุ่นเรานี้หนูทดลองจริงงงงง ยังไงก็สู้สู้นะจ๊ะ
อย่าเพิ่งท้อแท้ กับการแรงของเจ๊อุทุมพร อิอิ
Joyeux Noël 2009 et Bonne et Heureuse Année 2010
วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันพ่อ
วันพ่อ แห่งชาติ มีขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2523 โดย คุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่ม ด้วยความจงรักภักดี และมีวัตถุประสงค์ เทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะ “พ่อแห่งชาติ”
ซึ่งนอกจากพระองค์จะเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงทะนุบำรุงพระราชโอรสธิดาด้วยความรัก และทรงอบรมอนุศาสน์ให้ทรงเจริญวัยสมบูรณ์ และทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทแล้ว พระองค์ยังทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงจัดทุกข์ผดุงสุขพสกนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็น “พ่อแห่งชาติ” ที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนักในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้วัฒนาถาวรสืบไป
วันที่ 5 ธันวาคม นอกจากจะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และเป็นวันพ่อแห่งชาติแล้ว ยังถือว่าว่าวันนี้ เป็น “วันชาติของไทย” อีกด้วย
โดยทั่วไป “วันชาติ” มักจะหมายถึง วันเฉลิมฉลองที่ประเทศนั้นๆได้รับอิสรภาพ เป็นเอกราช หรือเป็นวันสถาปนาประเทศ รัฐ ราชวงศ์ วันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ วันเกิดประมุขของรัฐ หรืออาจจะเป็นวันที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อื่นๆ แต่มักจะถือเป็นวันหยุดประจำของชาติ ซึ่ง “วันชาติ” ของแต่ละประเทศจะเป็นวันใด ก็ขึ้นอยู่กับการกำหนดของประเทศนั้นๆ เช่น ประเทศโมร็อกโก ตรงกับวันที่ 2 มีนาคม สหรัฐอเมริกา ตรงกับวันที่ 4 กรกฎาคม ฝรั่งเศสตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคม อินโดนีเซียตรงกับวันที่ 17 สิงหาคม บราซิลตรงกับวันที่ 7 กันยายน และเคนย่าตรงกับวันที่ 12 ธันวาคม เป็นต้น
ความเป็นมา
วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่ม หลักการและเหตุผลที่มีการจัดตั้งวันพ่อ เนื่องจากพ่อ เป็นบุคคลผู้มีพระคุณและมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนและตอบ แทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรที่จะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ อีกทั้งยังทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและ พระราชธิดาที่ทรงรักใคร่ห่วงใย ตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน และพระเจ้าหลานเธอทุก ๆ พระองค์ต่างซาบซึ้ง ในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระ เมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระโอรสองค์เล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเสด็จพระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมานท์ ออร์เบินณ์ เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสสาชูเซสท์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระองค์ทรงมีพระเชษฐาธิราช (พี่ชาย) และพระเชษฐภคินี (พี่สาว) 2 พระองค์คือ 1. สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ 2. พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8)
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงขึ้นครองราชเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงค์สิกิติ์ กิติยากร (สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนารถ) ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 4 พระองค์ คือ 1. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี 2. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร 3. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 4. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
ซึ่งนอกจากพระองค์จะเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงทะนุบำรุงพระราชโอรสธิดาด้วยความรัก และทรงอบรมอนุศาสน์ให้ทรงเจริญวัยสมบูรณ์ และทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทแล้ว พระองค์ยังทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงจัดทุกข์ผดุงสุขพสกนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็น “พ่อแห่งชาติ” ที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนักในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้วัฒนาถาวรสืบไป
วันที่ 5 ธันวาคม นอกจากจะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และเป็นวันพ่อแห่งชาติแล้ว ยังถือว่าว่าวันนี้ เป็น “วันชาติของไทย” อีกด้วย
โดยทั่วไป “วันชาติ” มักจะหมายถึง วันเฉลิมฉลองที่ประเทศนั้นๆได้รับอิสรภาพ เป็นเอกราช หรือเป็นวันสถาปนาประเทศ รัฐ ราชวงศ์ วันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ วันเกิดประมุขของรัฐ หรืออาจจะเป็นวันที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อื่นๆ แต่มักจะถือเป็นวันหยุดประจำของชาติ ซึ่ง “วันชาติ” ของแต่ละประเทศจะเป็นวันใด ก็ขึ้นอยู่กับการกำหนดของประเทศนั้นๆ เช่น ประเทศโมร็อกโก ตรงกับวันที่ 2 มีนาคม สหรัฐอเมริกา ตรงกับวันที่ 4 กรกฎาคม ฝรั่งเศสตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคม อินโดนีเซียตรงกับวันที่ 17 สิงหาคม บราซิลตรงกับวันที่ 7 กันยายน และเคนย่าตรงกับวันที่ 12 ธันวาคม เป็นต้น
ความเป็นมา
วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่ม หลักการและเหตุผลที่มีการจัดตั้งวันพ่อ เนื่องจากพ่อ เป็นบุคคลผู้มีพระคุณและมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนและตอบ แทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรที่จะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ อีกทั้งยังทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและ พระราชธิดาที่ทรงรักใคร่ห่วงใย ตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน และพระเจ้าหลานเธอทุก ๆ พระองค์ต่างซาบซึ้ง ในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระ เมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระโอรสองค์เล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเสด็จพระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมานท์ ออร์เบินณ์ เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสสาชูเซสท์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระองค์ทรงมีพระเชษฐาธิราช (พี่ชาย) และพระเชษฐภคินี (พี่สาว) 2 พระองค์คือ 1. สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ 2. พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8)
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงขึ้นครองราชเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงค์สิกิติ์ กิติยากร (สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนารถ) ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 4 พระองค์ คือ 1. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี 2. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร 3. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 4. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
เทคนิคการสอบสัมภาษณ์
ช่วงนี้เพื่อนๆหลายคนทราบผลการคัดเลือกในการสอบตรงบางมหาวิทยาลัยแล้ว และจะต้องไปสอบสัมภาษณ์เพื่อทราบผลครั้งสุดท้าย เพื่อนๆควรจะศึกษาการเตรียมตัวเพื่อการสอบสัมภาษณ์และเทคนิคการสอบสัมภาษณ์ เดินทางมาถึงครึ่งทางแล้ว ยอมแพ้ไม่ได้นะคะ
เทคนิคการสอบสัมภาษณ์มีดังนี้
1.การเตรียมตัวก่อนวันไปสัมภาษณ์
- เตรียมเอกสารส่วนตัวให้เรียบร้อย จัดลงในแฟ้มสะสมผลงาน หรือ PORTFOLIO ให้เป็นระบบ ตัวอย่างเอกสาร เช่น ประวัติส่วนตัว ประวัติการเรียน ผลการเรียน การร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน การประกวดแข่งขัน ผลงานและรางวัลต่าง ๆ รูปภาพ ฯลฯ
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย คณะ และสาขาวิชาที่สมัครเข้าศึกษา รวมทั้งติดตามข่าวสารความรู้ทั่วไปในปัจจุบัน
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ไปสัมภาษณ์ การเดินทาง ระยะทาง ตึก-ห้องที่จะสัมภาษณ์ ควรจะเผื่อรถติดด้วย
- พักผ่อนให้เพียงพอ ควรงดการรับประทานอาหารรสจัด
- อย่าลืมเตรียมปากกาไปด้วย
2. วันสอบสัมภาษณ์
- แต่งกายเครื่องแบบนักเรียนที่สะอาด เรียบร้อย นักเรียนชายผมสั้น นักเรียนหญิงถ้าผมยาวให้รวบผมติดกิ๊บให้เรียบร้อย ไม่แต่งหน้า ไม่ใส่น้ำหอม และไม่ใส่เครื่องประดับใดๆ นอกจากนาฬิกา
- รับประทานอาหารเช้า ทำภารกิจส่วนตัวให้เรียบร้อย
- ไปถึงห้องสอบก่อนเวลาไม่น้อยกว่า 15 นาที เข้าห้องน้ำ นั่งรอหน้าห้องด้วยความสบายใจ ไม่คุยเสียงดัง ไม่เล่น ให้นั่งรอเรียกชื่อด้วยความสงบ ถ้าตื่นเต้นให้หายใจยาวๆ
- ปิดโทรศัพท์มือถือ
3. การเข้ารับการสัมภาษณ์
- เมื่อถูกเรียกชื่อให้เดินไปด้วยอาการสงบ ไม่ต้องตื่นเต้นมาก คิดว่า “เราทำได้”
- ถ้ามีประตูให้เคาะประตูก่อน ถ้าไม่มี ให้เดินไปที่หน้าโต๊ะกรรมการสัมภาษณ์ และไหว้ด้วยท่าทีที่อ่อนน้อม กรณีที่มีผู้สัมภาษณ์หลายคนให้ทำความเคารพครั้งเดียว โดยยืนตำแหน่งตรงกลางหน้าโต๊ะกรรมการ
- นั่งลงเมื่อกรรมการบอกให้นั่ง พร้อมทั้งกล่าวคำขอบคุณ ให้นั่งด้วยท่าทีที่สุภาพ ไม่นั่งไขว่ห้าง กระดิกขา หรือโยกตัว ให้ประสานมือไว้ข้างหน้า สบตาผู้สัมภาษณ์ (ไม่จ้องตานะคะ)
- ตอบคำถามด้วยความมั่นใจ มีน้ำเสียงที่ดังพอสมควรไม่ค่อยเกินไป
- ภาษาที่ใช้ควรจะเป็นภาษาที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่พูดภาษาไทยคำอังกฤษคำ ไม่ใช้ศัพท์เฉพาะของวัยรุ่น ควรจะลงท้าย “ค่ะ ครับ” ทุกครั้งที่ตอบคำถาม
- การแสดงความคิดเห็นควรจะเน้นความมีเหตุผล ไม่มีอคติหรือตอบในแง่ลบ
- ไม่ถ่อมตนจนเกินไป ไม่คุยโอ้อวดหรือแสดงความมั่นใจจนเกินไป นอกจากเป็นคำถามที่ตนเองมีความชำนาญเฉพาะด้าน เช่น มีทักษะด้านหุ่นยนต์ หรือ ดนตรีไทย ก็สามารถอธิบายได้ด้วยความมั่นใจ
- คำถามบางคำถามอาจจะตอบไม่ได้ ไม่ต้องตกใจ ให้บอกว่าไม่ทราบ แล้วจะไปหาข้อมูลเพิ่มเติม (แต่ไม่ใช่ไม่ทราบทุกคำถามนะคะ)
4. การยุติการสัมภาษณ์
- เมื่อสิ้นสุดการสัมภาษณ์ให้ทำความเคารพกรรมการผู้สัมภาษณ์ด้วยท่าทีที่อ้อนน้อม เป็นอันเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์ค่ะ คราวนี้ก็รอลุ้นการประกาศรายชื่อนะคะ
5. คำถามหรือคำพูดที่มักจะพบในการสอบสัมภาษณ์
- ไหนลองแนะนำตัวหน่อยสิครับ
- ทำไมถึงเลือกเรียน สาขาวิชา คณะ และมหาวิทยาลัยนี้
- ทราบไหมว่าสาขาวิชานี้เรียนเกี่ยวกับอะไร
- คิดว่าสาขาวิชาที่เลือกเมื่อจบแล้วจะประกอบอาชีพอะไรได้บ้าง
- คิดว่าตนเองเหมาะสมกับสาขาวิชานี้อย่างไร
- บางท่านอาจจะถามข้อมูลเกี่ยวกับจังหวัดที่เราอยู่ เช่น ชื่อผู้ว่าราชการจังหวัด คำขวัญของจังหวัด จุดเด่นของจังหวัด ฯลฯ
- ชอบ/ไม่ชอบวิชาอะไร
- อนาคตอยากจะประกอบอาชีพอะไร
- ให้พูดถึงข้อดี/ข้อเสียของตนเอง
- ถ้าเป็นสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับภาษา หรือแผนการเรียนที่นักเรียนเรียนจบมา อาจจะมีการสัมภาษณ์เป็นภาษานั้น หรือ ให้พูดภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส หรือ เยอรมัน ให้ฟัง เป็นต้น
- บางครั้งอาจจะมีคำถามยั่วยุ หรือสบประมาท ให้ตอบคำถามด้วยความใจเย็น และมีเหตุผล ยิ้มไว้ค่ะ
ขอให้โชคดีในการสอบสัมภาษณ์ทุกๆคนนะคะ
เทคนิคการสอบสัมภาษณ์มีดังนี้
1.การเตรียมตัวก่อนวันไปสัมภาษณ์
- เตรียมเอกสารส่วนตัวให้เรียบร้อย จัดลงในแฟ้มสะสมผลงาน หรือ PORTFOLIO ให้เป็นระบบ ตัวอย่างเอกสาร เช่น ประวัติส่วนตัว ประวัติการเรียน ผลการเรียน การร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน การประกวดแข่งขัน ผลงานและรางวัลต่าง ๆ รูปภาพ ฯลฯ
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย คณะ และสาขาวิชาที่สมัครเข้าศึกษา รวมทั้งติดตามข่าวสารความรู้ทั่วไปในปัจจุบัน
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ไปสัมภาษณ์ การเดินทาง ระยะทาง ตึก-ห้องที่จะสัมภาษณ์ ควรจะเผื่อรถติดด้วย
- พักผ่อนให้เพียงพอ ควรงดการรับประทานอาหารรสจัด
- อย่าลืมเตรียมปากกาไปด้วย
2. วันสอบสัมภาษณ์
- แต่งกายเครื่องแบบนักเรียนที่สะอาด เรียบร้อย นักเรียนชายผมสั้น นักเรียนหญิงถ้าผมยาวให้รวบผมติดกิ๊บให้เรียบร้อย ไม่แต่งหน้า ไม่ใส่น้ำหอม และไม่ใส่เครื่องประดับใดๆ นอกจากนาฬิกา
- รับประทานอาหารเช้า ทำภารกิจส่วนตัวให้เรียบร้อย
- ไปถึงห้องสอบก่อนเวลาไม่น้อยกว่า 15 นาที เข้าห้องน้ำ นั่งรอหน้าห้องด้วยความสบายใจ ไม่คุยเสียงดัง ไม่เล่น ให้นั่งรอเรียกชื่อด้วยความสงบ ถ้าตื่นเต้นให้หายใจยาวๆ
- ปิดโทรศัพท์มือถือ
3. การเข้ารับการสัมภาษณ์
- เมื่อถูกเรียกชื่อให้เดินไปด้วยอาการสงบ ไม่ต้องตื่นเต้นมาก คิดว่า “เราทำได้”
- ถ้ามีประตูให้เคาะประตูก่อน ถ้าไม่มี ให้เดินไปที่หน้าโต๊ะกรรมการสัมภาษณ์ และไหว้ด้วยท่าทีที่อ่อนน้อม กรณีที่มีผู้สัมภาษณ์หลายคนให้ทำความเคารพครั้งเดียว โดยยืนตำแหน่งตรงกลางหน้าโต๊ะกรรมการ
- นั่งลงเมื่อกรรมการบอกให้นั่ง พร้อมทั้งกล่าวคำขอบคุณ ให้นั่งด้วยท่าทีที่สุภาพ ไม่นั่งไขว่ห้าง กระดิกขา หรือโยกตัว ให้ประสานมือไว้ข้างหน้า สบตาผู้สัมภาษณ์ (ไม่จ้องตานะคะ)
- ตอบคำถามด้วยความมั่นใจ มีน้ำเสียงที่ดังพอสมควรไม่ค่อยเกินไป
- ภาษาที่ใช้ควรจะเป็นภาษาที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่พูดภาษาไทยคำอังกฤษคำ ไม่ใช้ศัพท์เฉพาะของวัยรุ่น ควรจะลงท้าย “ค่ะ ครับ” ทุกครั้งที่ตอบคำถาม
- การแสดงความคิดเห็นควรจะเน้นความมีเหตุผล ไม่มีอคติหรือตอบในแง่ลบ
- ไม่ถ่อมตนจนเกินไป ไม่คุยโอ้อวดหรือแสดงความมั่นใจจนเกินไป นอกจากเป็นคำถามที่ตนเองมีความชำนาญเฉพาะด้าน เช่น มีทักษะด้านหุ่นยนต์ หรือ ดนตรีไทย ก็สามารถอธิบายได้ด้วยความมั่นใจ
- คำถามบางคำถามอาจจะตอบไม่ได้ ไม่ต้องตกใจ ให้บอกว่าไม่ทราบ แล้วจะไปหาข้อมูลเพิ่มเติม (แต่ไม่ใช่ไม่ทราบทุกคำถามนะคะ)
4. การยุติการสัมภาษณ์
- เมื่อสิ้นสุดการสัมภาษณ์ให้ทำความเคารพกรรมการผู้สัมภาษณ์ด้วยท่าทีที่อ้อนน้อม เป็นอันเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์ค่ะ คราวนี้ก็รอลุ้นการประกาศรายชื่อนะคะ
5. คำถามหรือคำพูดที่มักจะพบในการสอบสัมภาษณ์
- ไหนลองแนะนำตัวหน่อยสิครับ
- ทำไมถึงเลือกเรียน สาขาวิชา คณะ และมหาวิทยาลัยนี้
- ทราบไหมว่าสาขาวิชานี้เรียนเกี่ยวกับอะไร
- คิดว่าสาขาวิชาที่เลือกเมื่อจบแล้วจะประกอบอาชีพอะไรได้บ้าง
- คิดว่าตนเองเหมาะสมกับสาขาวิชานี้อย่างไร
- บางท่านอาจจะถามข้อมูลเกี่ยวกับจังหวัดที่เราอยู่ เช่น ชื่อผู้ว่าราชการจังหวัด คำขวัญของจังหวัด จุดเด่นของจังหวัด ฯลฯ
- ชอบ/ไม่ชอบวิชาอะไร
- อนาคตอยากจะประกอบอาชีพอะไร
- ให้พูดถึงข้อดี/ข้อเสียของตนเอง
- ถ้าเป็นสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับภาษา หรือแผนการเรียนที่นักเรียนเรียนจบมา อาจจะมีการสัมภาษณ์เป็นภาษานั้น หรือ ให้พูดภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส หรือ เยอรมัน ให้ฟัง เป็นต้น
- บางครั้งอาจจะมีคำถามยั่วยุ หรือสบประมาท ให้ตอบคำถามด้วยความใจเย็น และมีเหตุผล ยิ้มไว้ค่ะ
ขอให้โชคดีในการสอบสัมภาษณ์ทุกๆคนนะคะ
วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
มศว ประกาศผลแล้วววววววว
วันนี้เราก็อยากจะระบายว่า เราไม่ติด ไม่ติด ตอนเปิดเข้าไปดูเว็บของมศว ก็ดันเข้าไม่ได้ เว็บล้มซะงั้น ดีที่เพื่อนโทรมาบอกว่าเค้าไปโพสต์เว็บเด็กดี ทำให้เราเข้าไปดูที่บอร์ดของเด็กดี แต่พยายามหาชื่อเราก็ไม่มี ดูตั้งห้ารอบก็ไม่มีชื่อเรา ตอนแรกก็ใจหาย แต่ก็บอกกับตัวเองว่า ไม่เป็นไร ไม่ติดก็ไม่เป็นไร
ที่บ้านก็ไม่มีใครว่า บอกว่าเอาใหม่ ไม่ได้ที่นี่ อาจจะได้ที่อื่น เราเองก็คิดว่าไม่ได้อยู้แล้วเพราะข้อสอบมันยากกกกกก แถมสอบวิทย์พื้นฐานอีกต่างหาก ยากก็ยาก ทำก็ไม่ได้ บอกกับตัวเองว่า ลาก่อนมศววววววว
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเตรียมตัวก็คือออออออออ
นับถอยหลังงงงงงงงงงงง
เหลืออีก 5 วันนนนนนนนนนนนน
มศก. ก็ประกาศผลแล้ววววว
ตื่นเต้นนนนนนนนจะได้ไหม
ก็อยู่ที่ศิลปากรนี้แหละ
ที่บ้านก็ไม่มีใครว่า บอกว่าเอาใหม่ ไม่ได้ที่นี่ อาจจะได้ที่อื่น เราเองก็คิดว่าไม่ได้อยู้แล้วเพราะข้อสอบมันยากกกกกก แถมสอบวิทย์พื้นฐานอีกต่างหาก ยากก็ยาก ทำก็ไม่ได้ บอกกับตัวเองว่า ลาก่อนมศววววววว
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเตรียมตัวก็คือออออออออ
นับถอยหลังงงงงงงงงงงง
เหลืออีก 5 วันนนนนนนนนนนนน
มศก. ก็ประกาศผลแล้ววววว
ตื่นเต้นนนนนนนนจะได้ไหม
ก็อยู่ที่ศิลปากรนี้แหละ
วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมตัวก่อนเป็นเด็กเอ็น
1.เราต้อง ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวางแผนตัวเอง
ลองหยิบกระดาษมาหนึ่งใบแล้วรองเขียนว่าในเจ็ดวันเสาร์-อาทิตย์ในเวลาเหล่านั้นเราต้องทำอะไรบ้างแล้วลองเช็คเวลาที่เราชอบอ่านหนังสือ เหมือนกับว่าเราทำตารางประจำวันนะค่ะ ลองเขียนคราวๆก่อน เช่นทุกวันเสาร์ว่าง 13.00 - 16.00 เป็นต้น
2.เราต้อง รู้ตัวเอง และมีเป้าหมาย
เราพลิกกระดาษไปอีกด้านเพื่อความไม่เปลืองทรัพยากรธรรมชาติ เขียนลงไปเลยว่าอยากเรียนอะไรแต่ต้องแบ่งให้เป็นส่วนๆ อย่าเขียนลกนะ เดี๋ยวพอตอนรวมจะสับสนนะค่ะ
3.เราต้อง ตรวจสอบดูว่าเราอ่อนวิชาไหน แล้วเราต้องการแข็งวิชาไหนเป็นพิเศษ
ลองหยิบกระดาษมาอีกใบ แล้วเขียนลงไปเลยว่าวิชาที่เราต้องอ่านมีวิชาอะไรบ้างลิสต์เป็นรายการๆเลยอย่างเช่น อีฟเรียนแผนการเรียน ศิลป์-คำนวณ และ คณะที่ต้องการเข้าก็เป็นสายศิลป์ซะส่วนมากก็จะเน้น สังคม - ภาษาไทย ที่จะต้องอ่านมากกว่าวิชาอื่นๆ
4.เราต้องตรวจนับวันเวลาที่หลงเหลืออยู่ให้เราได้เตรียมตัวกับมัน
พลิกกระดาษด้านหลังอีกใบ แล้วนับวันเวลาก่อนถึงวันสอบ o-net ว่ามีกี่วันอาจจะนับทุกวันหรือจะนับแค่คราวตัดออกบางส่วนเพื่อเราไม่ได้อ่าน เพราะอาจจะมีบ้างวันที่เราต้องติดธุระจริงๆ
5.เราต้องจัดเตรียมหนังสือทังหมดที่เราต้องการ
หยิบกระดาษอีกทีหรือถ้ามีที่ว่างก็ใช้ได้นะ เช็ควันเวลาวิชาทั้งหมดว่าเหลือเวลากี่วันถึงจะอ่านหนังสือที่เราต้องการรับรู้มันให้หมดทันเวลา เช่น มีเวลา 10 วัน อ่าน 3 วิชา วิชาแรก 2 หน้า วิชาที่สอง 3 หน้า วิชาที่สาม 3 หน้ารวมต้องอ่านหนังสือ 8 หน้า ภายใน 10 วัน นับ วันไปหารกับหน้าหนังสือที่เราต้องอ่านก็จะได้หน้าที่ต้องอ่านต่อวันค่ะโดยการอ่านเราสามารถแยกได้คืออ่านวิชาเดียวให้จบทีเดียวคือทยอยอ่านทีละวิชา กับ อ่านคละๆกันให้จบพร้อมกันค่ะ ขึ้นอยู่กับความชอบความถนัดของแต่ละคนนะค่ะ
6.เราต้องมีอาวุธเครื่องเขียนำคัญคู่การ
ปากกาน้ำเงิน ปากกาแดง ปากกาสี ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด เตรียมมันให้หมดค่ะเพราะมันเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้เราพิชิตความฝันได้ค่ะ.
7.เราต้องจัดการสิ่งที่เราเขียนเมื่อกี้รวมไว้เป็นแผนเดียวกัน
เขียนเป็นตารางเลย วิชาที่ต้องอ่านมีอะไรบ้าง วิชาหนึ่งมีเวลาอ่านกี่วัน วันหนึ่งต้องอ่านวิชาอะไรบ้าง ข้อความเตือนใจที่จะเป็นแรงปลุกใจ คณะที่ชอบ หรือ ข้อความให้แรงบรรดาลใจ เขียนมันไปเลยค่ะ
8.ลงมือทำ
ข้อนี้ยากใช่ไหมค่ะ แต่เราต้องทำค่ะ ทำในให้ได้ ค่อยๆทำ วันไหนอ่านไม่ไหวก็พักแต่เราก็มองไปที่ข้อความบรรดาลใจในกระดาษใบนั้น แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆนอนพักแล้วพรุ่งนี้ก็เริ่มใหม่นะค่ะ
ปล.หวังว่าบทความนี้อาจพอช่วยเพื่อนๆได้ง่ายขึ้นกับการเตรียมตัวนะค่ะ พยายามไปพร้อมๆกันนะค่ะ...
ลองหยิบกระดาษมาหนึ่งใบแล้วรองเขียนว่าในเจ็ดวันเสาร์-อาทิตย์ในเวลาเหล่านั้นเราต้องทำอะไรบ้างแล้วลองเช็คเวลาที่เราชอบอ่านหนังสือ เหมือนกับว่าเราทำตารางประจำวันนะค่ะ ลองเขียนคราวๆก่อน เช่นทุกวันเสาร์ว่าง 13.00 - 16.00 เป็นต้น
2.เราต้อง รู้ตัวเอง และมีเป้าหมาย
เราพลิกกระดาษไปอีกด้านเพื่อความไม่เปลืองทรัพยากรธรรมชาติ เขียนลงไปเลยว่าอยากเรียนอะไรแต่ต้องแบ่งให้เป็นส่วนๆ อย่าเขียนลกนะ เดี๋ยวพอตอนรวมจะสับสนนะค่ะ
3.เราต้อง ตรวจสอบดูว่าเราอ่อนวิชาไหน แล้วเราต้องการแข็งวิชาไหนเป็นพิเศษ
ลองหยิบกระดาษมาอีกใบ แล้วเขียนลงไปเลยว่าวิชาที่เราต้องอ่านมีวิชาอะไรบ้างลิสต์เป็นรายการๆเลยอย่างเช่น อีฟเรียนแผนการเรียน ศิลป์-คำนวณ และ คณะที่ต้องการเข้าก็เป็นสายศิลป์ซะส่วนมากก็จะเน้น สังคม - ภาษาไทย ที่จะต้องอ่านมากกว่าวิชาอื่นๆ
4.เราต้องตรวจนับวันเวลาที่หลงเหลืออยู่ให้เราได้เตรียมตัวกับมัน
พลิกกระดาษด้านหลังอีกใบ แล้วนับวันเวลาก่อนถึงวันสอบ o-net ว่ามีกี่วันอาจจะนับทุกวันหรือจะนับแค่คราวตัดออกบางส่วนเพื่อเราไม่ได้อ่าน เพราะอาจจะมีบ้างวันที่เราต้องติดธุระจริงๆ
5.เราต้องจัดเตรียมหนังสือทังหมดที่เราต้องการ
หยิบกระดาษอีกทีหรือถ้ามีที่ว่างก็ใช้ได้นะ เช็ควันเวลาวิชาทั้งหมดว่าเหลือเวลากี่วันถึงจะอ่านหนังสือที่เราต้องการรับรู้มันให้หมดทันเวลา เช่น มีเวลา 10 วัน อ่าน 3 วิชา วิชาแรก 2 หน้า วิชาที่สอง 3 หน้า วิชาที่สาม 3 หน้ารวมต้องอ่านหนังสือ 8 หน้า ภายใน 10 วัน นับ วันไปหารกับหน้าหนังสือที่เราต้องอ่านก็จะได้หน้าที่ต้องอ่านต่อวันค่ะโดยการอ่านเราสามารถแยกได้คืออ่านวิชาเดียวให้จบทีเดียวคือทยอยอ่านทีละวิชา กับ อ่านคละๆกันให้จบพร้อมกันค่ะ ขึ้นอยู่กับความชอบความถนัดของแต่ละคนนะค่ะ
6.เราต้องมีอาวุธเครื่องเขียนำคัญคู่การ
ปากกาน้ำเงิน ปากกาแดง ปากกาสี ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด เตรียมมันให้หมดค่ะเพราะมันเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้เราพิชิตความฝันได้ค่ะ.
7.เราต้องจัดการสิ่งที่เราเขียนเมื่อกี้รวมไว้เป็นแผนเดียวกัน
เขียนเป็นตารางเลย วิชาที่ต้องอ่านมีอะไรบ้าง วิชาหนึ่งมีเวลาอ่านกี่วัน วันหนึ่งต้องอ่านวิชาอะไรบ้าง ข้อความเตือนใจที่จะเป็นแรงปลุกใจ คณะที่ชอบ หรือ ข้อความให้แรงบรรดาลใจ เขียนมันไปเลยค่ะ
8.ลงมือทำ
ข้อนี้ยากใช่ไหมค่ะ แต่เราต้องทำค่ะ ทำในให้ได้ ค่อยๆทำ วันไหนอ่านไม่ไหวก็พักแต่เราก็มองไปที่ข้อความบรรดาลใจในกระดาษใบนั้น แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆนอนพักแล้วพรุ่งนี้ก็เริ่มใหม่นะค่ะ
ปล.หวังว่าบทความนี้อาจพอช่วยเพื่อนๆได้ง่ายขึ้นกับการเตรียมตัวนะค่ะ พยายามไปพร้อมๆกันนะค่ะ...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)