วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ส่งนางฟ้ากลับสวรรค์



ร่วมน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าพีนางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระผู้เป็นดั่งแสงหนึ่งคือรุ้งงาม ที่คอยส่องประกายในยามค่ำคืนให้กลับมีแสงสว่างอบอุ่นขึ้นทันใด "แสงหนึ่ง" คือ เปรียบดุจแสงที่ส่องสว่าง และส่องฉายอาบให้เราได้มองเห็นความสวยงาม ความยิ่งใหญ่ของสรรพสิ่งในโลกนี้ แต่ผู้คนมักไม่ได้มองเห็น "แสง" นั้น "แสงหนึ่ง" ซึ่งเมื่อผนวกรวมกันแล้วก็สะท้อน ให้เห็นถึงความหมาย หรือคุณลักษณะอันงดงามที่อยู่ภายในแสง ดุจแสงหนึ่ง เมื่อวันฟ้าคลี่ ที่ปรากฏให้เห็นคือ "รุ้งงาม" "แสงหนึ่งคือรุ้งงาม" ได้ถ่ายทอดความเป็นพระองค์ท่าน ผ่านคุณลักษณะทั้ง 7 ประการ ได้แก่ ความสง่างาม ความเรียบง่าย ความมีพลังสร้างสรรค์ ความรอบรู้ ความเมตตา การให้เกียรติผู้อื่น และการอุทิศพระองค์เพื่อส่วนรวม เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เข้าชมนิทรรศการได้นำไปเป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิต โดยยึดแนวทางการดำเนินชีวิตของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เป็นแสงส่องนำทางสู่อนาคต

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Loy Kratong


Loy Kratong (ou Loi Krathong,Thaï ลอยกระทง) est une fête célébrée chaque année dans toute la Thaïlande.Elle a lieu lors de la pleine lune du 12e mois du calendrier thaï lunaire traditionnel;dans le calendrier occidental,ceci se produit généralement en novembre.Cette tradition a débuté à Sukhothai mais est à présent fêtée dans toute la Thaïlande,les festivités de Chiang Mai et d’Ayutthaya étant particulièrement célèbres.Dans le Nord du royaume,à Chiang Mai notamment,Loy Kratong est l’occasion d’un spectaculaire lâcher dans les airs de lanternes emportées par des ballons cylindriques à air chaud.Loy Kratong est l’une des fêtes amusantes et joyeuses de la tradition thaïe.

La fête des Lumières
Loi signifie "flotter".Un Krathong est un petit radeau d’une vingtaine de centimètres de diamètre,taillé dans la section d’un tronc de bananier (bien que les versions contemporaines utilisent souvent du polystyrène même si cette pratique tend à être abandonnée pour d’évidentes raisons écologiques),décoré de façon élaborée avec des feuilles de bananier,des fleurs,des bougies,et trois bâtons d’encens etc... Certains y ajoutent également une pièce en espérant en retour bonne fortune,ce qui fait surtout le bonheur des enfants qui iront à la pêche au Krathong une fois la fête terminée.Le Krathong a souvent la forme d’un lotus en fleur mais il peut aussi avoir l’apparence d’un cygne,d’une stupa,ou encore tout simplement du mont Méru.La fête est également l'occasion de concours de la plus belle embarcation.Durant la nuit de la pleine lune,de nombreux Krathongs ainsi réalisés sont lâches des bords d’une rivière, d’un canal,d’un lac ou d’un bassin. Les administrations,les entreprises et autres organisations en fabriquent de plus grands et de plus élaborés et ceux-ci sont souvent évalués lors de concours. A cela s’ajoutent des feux d’artifices et des concours de beauté.

Significations et symboles
Cette célébration a ses origines en Inde,dérivant de la fête hindoue de Divâlî durant laquelle la déesse du Gange est remerciée par des lanternes flottantes pour avoir dispensé la vie tout au long de l’année.Selon les écrits du roi Rama IV en 1863,la festivité originellement brahmanique fut adaptée par les bouddhistes de Thaïlande comme une cérémonie en l’honneur du Bouddha.En plus de manifester leur vénération pour le Bouddha par de la lumière(la bougie sur le radeau),le lâcher de Kratongs par les Thaïs symbolise également le fait de laisser partir rancunes, colères et souillures afin de pouvoir repartir d’un bon pied.De la même façon,ils se coupent ongles et cheveux qui symbolisent les mauvais aspects de soi afin de les placer sur les radeaux.Nombreux sont les Thaïs qui pensent que faire flotter un Kratong leur portera bonheur et ils le font pour honorer et remercier Phra Mae Khongkha,l’équivalent thaï de la déesse Hindoue des eaux.

Origines
Selon la légende la plus communément admise,il y a plusieurs siècles,durant la période Sukhothai(v.1220-1350),il y avait,à la cour du roi Pra-Ruang aussi connu sous le nom de Lithai,un prêtre Brahmane qui avait une fille extrêmement belle appelée Naang Noppamart.Elle était très intelligente et douée de talents artistiques la rendant capable de confectionner de magnifiques guirlandes de fleurs.Sa beauté et ses talents attirèrent l’attention du roi et à l’âge de 17 ans,elle fut admise au rang de concubine royale.A cette époque,les Hindous célébraient au cours du 12e mois lunaire une fête où ils vénéraient leurs trois principaux dieux(Brahmâ,Shiva et Vishnou)avec des lanternes montées sur de longues perches et par le lâcher de lanternes dans le fleuve sacré du Gange afin de rendre hommage à la déesse Gangâ,« Mère des Eaux».

Accompagnant l’expansion de la religion hindoue dans une grande partie de l’Asie du Sud-Est,ces traditions frayèrent leur chemin au royaume khmer puis en Thaïlande, atteignant d’abord le royaume Mon de Haripunchai puis les royaumes Lanna et de Sukhothai.Le roi Pra-Ruang voulut créér une version thaie de cette fête hindoue et organisa un concours de «Lanternes Flottantes» lors de la nuit de la 12e pleine lune.Naang Noppamart se servit de ses talents pour fabriquer une magnifique embarcation,utilisant un tronc de bananier comme flotteur et des feuilles de bananier pour la décorer en forme de feuilles de lotus.Sa création remporta le concours et le roi décréta que dorénavant,ce Kratong dénommé à l’origine Khamot, servirait de modèle pour cette nouvelle cérémonie thaie des Lumières ou Loy Kratong.

Naang Noppamart devint la favorite du roi et mena une vie heureuse.A son actif, on compte le Tumrub Thao Srichulaluck,un compte-rendu autobiographique sur l’histoire et le déroulement de la cérémonie du 12e mois lunaire ou Loy Krathong en Thailande. Légende ou réalité? Qui sait? Cependant,l’histoire de Naang Noppamart ajoute une touche de charme aux festivités de Loy Krathong et jusqu’à ce jour celle qui remporte le concours de beauté de Loy Kratong en Thaïlande reçoit le titre de «Reine Naang Noppamart».

ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 44


บารัค โอบามา (Barack Obama)
ชื่อเต็ม : บารัค ฮุสเซน โอบามา ( Barack Hussein Obama)
วันเดือนปีเกิด : 4 สิงหาคม พ.ศ. 2504
สถานที่เกิด : มลรัฐฮาวาย ประเทสสหรัฐอเมริกา
การศึกษา : มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย, มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด

นายบารัค โอบามา เป็นหนุ่มลูกครึ่งอเมริกันกับเคนยา เกิดที่มลรัฐฮาวาย หลังจากที่บิดาของเขาคือ Barack Obama, Sr. นักศึกษาต่างแดนจากเคนยาที่ทิ้งครอบครัวมาศึกษาต่อ ในอเมริกา และมาพบรักกับ Ann Dunham นักศึกษาสาวจากแคนซัส ที่มหาวิทยาลัยฮาวาย แต่รักในวัยเรียนดำเนินไปได้ไม่นาน เมื่อโอบามาน้อยลืมตาดูโลกได้เพียง 2 ปี พวกเขาก็แยกทางกัน โอบามาน้อยยังคงอยู่กับมารดาในอเมริกา ส่วนบิดาของเขากลับไป ทำงานที่เคนยา และแต่งงานใหม่กับหญิงอเมริกันในเคนยา เป็นการเริ่มต้นครอบครัวครั้งที่ 3 แต่ก็ไปกันได้ไม่นาน จากความทุกข์ หลายๆ ด้านประดังเข้ามา ทำให้บิดาของเขา เริ่มหันมา "ดื่ม" เพื่อลืมปัญหา
ทาง ด้านมารดาของเขา หลังจากเลิกรากับบิดาของโอบามา เธอแต่งงานใหม่ กับ Lolo Soetoro นักศึกษาชาวอินโดนีเซีย และมีบุตรสาวหนึ่งคนชื่อ Maya เมื่อโอบามา อายุ 6 ปี มารดาของเขากับครอบครัวใหม่ได้ย้ายไปอยู่ ณ เมืองจาการ์ตาในอินโดนีเซีย ที่ที่เขาเริ่มต้นชีวิตวัยเรียนครั้งแรกในต่างแดน จนกระทั่งอายุครบ 10 ปี เขาถูกส่งกลับมาอยู่กับตากับยายของเขาที่ฮาวาย จนกระทั่งจบเกรด 5

บิดา ผู้ให้กำเนิดโอบามาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในขณะที่โอบามาน้อยกลายเป็นหนุ่มวัย 21 ปี และอีก 13 ปี ต่อมา เขาสูญเสียมารดาที่จากไปด้วยโรคมะเร็งในรังไข่ เพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่เขาเขียนหนังสือไว้อาลัยให้กับบิดาของเขา โดยใช้ชื่อเรื่องว่า "ความฝันจากพ่อของฉัน" หรือ "Dreams from My Father" ซึ่ง ต่อมาเป็นหนังสือขายดีมาก และทำให้หลายคนชื่นชอบในตัวเขา จากแง่คิดในหนังสือเรื่องนี้ ในหนังสือเขาบรรยายถึงความรู้สึกในวัยเด็กของเขาที่มีปมด้อย มีความสับสนในที่มาและที่ไปของเขา เขาเติบโตท่ามกลางสองสีผิว ดังข้อความที่เขากล่าวไว้ในหนังสือเล่มนั้นว่า "พ่อของฉันไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวฉันเลย ท่าน ตัวดำอย่างกับยางมะตอย แม่ของฉันก็ขาวอย่างกับน้ำนม"

ในวัยรุ่น โอบามารู้สึกแปลกแยกมากในสังคม เขาเปิดอกในหนังสือว่า เขาต้องหัน ไปพึ่งของมึนเมาและยาเสพติด ไล่มาตั้งแต่ เหล้า กัญชา และโคเคน เพื่อทำให้ลืมว่าเขาเป็นใคร... โอบามาเติบโตมาท่ามกลางความหลากหลายในความคิดเรื่องศาสนา... จากพ่อผู้ให้กำเนิดชาวมุสลิมที่มีความเชื่อว่า พระเจ้าไม่มีอยู่จริง จากแม่ที่มาจากครอบครัว ที่ไม่ยึดถือศาสนาใด และพ่อเลี้ยงชาวอินโด นีเซียที่ไม่เห็นว่าศาสนามีความสำคัญมากนักในการดำเนินชีวิต... เขาจึงต้องพยายามแสวงหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจด้วยตนเอง จนกระทั่งเขาลงเอยที่เป็นสมาชิกของโบสถ์ Trinity สังกัด United Church of Christ ที่ไม่ปิดกั้นการคิดเชิงวิจารณ์(Critical Thinking) พร้อมทั้งไม่ขัดขวางการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง และเท่าเทียมกันทางสังคมและเศรษฐกิจ

แม้ ว่าชีวิตในวัยเยาว์ของโอบามาจะ ไม่เป็นสุขมากนัก แต่เขาสามารถสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียที่มีชื่อเสียง หลังจากเรียนจบเขาเข้าร่วมงานกับองค์กรไม่แสวงหากำไร โดยเป็นที่ปรึกษาโครงการฝึกอาชีพให้แก่โบสถ์แห่งหนึ่งในชิคาโก เมื่อเขาอายุได้ 27 ปี เขาศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในปีเดียวกันนั้นเขาพบรักกับ Michelle Robinson นิติกรสาวผิวดำจากบริษัทกฎหมาย Sidley & Austin ในชิคาโกที่เขาเคยร่วมงาน ขณะศึกษาอยู่ได้ 2 ปี เขาเป็นคนผิวดำคนแรกที่ได้รับเลือกเป็นประธานของ Harvard Law Review ในรอบ กว่าศตวรรษ จากนั้นเมื่อเขาสำเร็จนิติศาสตร์ ในปี 1991 เขามารับหน้าที่เป็นที่นิติกรสมทบ ให้บริษัทที่ปรึกษากฎหมาย Miner, Barnhill & Galland ในชิคาโก และสมรสกับ Michelle ในปีต่อมา และมีบุตรสาวด้วยกัน 2 คน คือ Malia และ Natasha จากนั้นเขาย้ายครอบครัวมาอยู่ที่เมือง Hyde Park ในชิคาโก ขณะเดียวกันเขาเริ่มงานสอนหนังสือวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิคาโกจนถึงปี 2004

ในปี 2004 นี้ เองเป็นปีที่ชื่อของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการเมืองของสหรัฐฯ จากการได้รับเลือกเป็นตัวแทนวุฒิสมาชิกในสภาสูงจากรัฐอิลลินอยส์และเขาได้ ร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมพรรคเดโมแครตประจำปี ซึ่งสุนทรพจน์ของเขาในครั้งนั้นโดนใจชาวเดโมแครตหลายคน รวมทั้ง สื่อมวลชนด้วย เรียกได้ว่าเขาเป็นนักการเมือง หนุ่มหน้าใหม่ที่มาแรงในยุคนี้ ด้วยประวัติทาง การเมืองยังค่อนข้างใสสะอาด ยังไม่มีผลงาน ที่ติดลบ เพราะยังมีผลงานไม่มากนัก แต่ด้วย ความที่เป็นคนที่มีวาทศิลป์ยอดเยี่ยม ผนวกกับมาดปัญญาชน สุขุม ลุ่มลึก และติดดินอยู่ในที สามารถเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม ตั้งแต่นักการเมืองผู้หนาประสบการณ์ พนักงานบริษัทไปจนถึงเกษตรกร อีกทั้งสตรี เด็ก และคนชรา อย่างไรก็ดี มีนักวิเคราะห์การเมืองอย่าง Robert Putnum แห่งมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด มีความเห็นว่า โอบามาจืดไปสำหรับ การเมือง เทียบไม่ได้กับบิล คลินตัน...บารมีและวาสนาของบารัก โอบามา จะไปถึงขั้นเป็นผู้นำของประเทศนั้น ยังไม่มีใครตอบได้

ต้อง ยอมรับ ว่าในส่วนวงการบันเทิงนั้นเรื่องสีผิว ค่อนข้างเท่าเทียมแล้ว แต่ยังมีความพยายามพลักดันให้ประเด็นลดการเหยียดผิวไปพิสูจน์ตัวเองในระดับ ชาติ นั่นเอง โอบามาจึงได้รับอนิสงค์จากประเด็นนี้ไปอย่างเต็มๆ อย่างการโดดมาช่วยโอบามาหาเสีย ของ โอปราห์ วินฟรีย์ พิธีกรผิวสีรายการทอล์กโชว์ชื่อดังที่เป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของสหรัฐ ทำให้ฐานเสียงโอบามาแน่นขึ้น และโกยคะแนนเป็นกอบเป็นกำ

ล่าสุดนี้ อย่างที่เรารู้กัน จากข่าว โอบามาเสนอตัวเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปี 2008 โดย ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง และกลุ่มชาวอเมริกันผิวดำ ในการคอคัสรอบแรกที่จัดขึ้นในรัฐไอโอวา เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2551 เขาได้รับคะแนนนิยม 38% เหนือนายจอห์น เอ็ดเวิร์ดส (30%) และนางฮิลลารี คลินตัน (29%) อย่างพลิกความคาดหมาย