วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551
วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2551
อ่านหนังสืออย่างไรให้จำได้ง่ายๆค่ะ (สิ่งดีๆที่นำมาฝากกันค่ะ)
ข้อที่ 1.น้องๆต้องใส่ใจเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก่อนเลยล่ะ ดูซิ!!!ว่าวิชาไหนน่ะที่เราต้องสอบเป็นอันดับแรกๆ หยิบวิชานั้นขึ้นมาก่อนเลย เตรียมไว้นะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวิชาที่จะสอบ ชีท เอกสารต่างๆ หรือแนวข้อสอบ(อันนี้สำคัญนะค่ะ หาให้เจอล่ะ) ค้นเลยๆ ทุกวิชานะค่ะ
ข้อที่ 2.แยกหมวดหมู่แต่ละวิชา ก่อน-หลัง แล้วหาที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบด้วยล่ะ
ข้อที่ 3.เตรียม ดินสอ/ปากกา สมุด และปากกาเน้นข้อความไว้ด้วยนะ
ข้อที่ 5.เริ่มอ่านวิชาที่จะต้องสอบก่อนเป็นวิชาแรกเลยค่ะ ตรงนี้แหละสำคัญมาก น้องๆอย่าอ่านๆๆๆๆๆแล้วก็อ่านเพื่อให้จบ แบบผ่านๆนะค่ะ ต่อให้น้องๆอ่านสัก 10 รอบแล้วบอกคนอื่นๆว่า "ก็เค้าอ่านเป็นสิบๆรอบแล้วอ่ะ แต่ทำไมทำข้อสอบไม่ได้เลยน่ะ?" อ่ะๆๆๆ!!! อ่านสัก 100 รอบก็ไม่ช่วยอะไรหรอกเจ้าค่ะ อ่านแล้วต้องทำความเข้าใจไปด้วย ตรงไหนที่คิดว่าสำคัญๆ น้องๆก็เน้นตรงจุดนั้นไว้ อาจจะใช้วิธีการจดบันทึกไว้ หรือ เน้นข้อความด้วยปากกาสีต่างๆก็ได้ค่ะ เพื่อว่าจะได้กลับมาอ่านอีกครั้ง
ข้อที่ 6.นั้นงัยๆๆๆพี่บอกไปตะกี้เองนะค่ะว่าอย่าอ่านแบบผ่านๆ ดูสิ!!!น้องๆลองกลับไปอ่านข้อ 3 ใหม่สิค่ะ แล้วดูซิว่าที่ต่อจากข้อ 3นะเป็นข้อที่เท่าไหร่ ข้อที่ 4หายไปๆๆๆๆ ส่วนน้องๆคนไหนสังเกตเห็นก่อนที่พี่เฉลย น้องก็ไม่มีปัญหาในเรื่องของการอ่านหนังสือแล้วละค่ะ เก่งมากๆเลย ส่วนน้องๆคนไหนที่ไม่ทันได้สังเกต ก็เอาจุดนี้เนี่ยแหละค่ะไปลองปรับใช้กับการอ่านหนังสือดูตามที่พี่บอกไว้ในข้อที่ 5 นะค่ะ
ข้อที่ 7.อ่ะ ต่อๆๆ การไม่ปล่อยให้ท้องว่างก็เป็นสิ่งสำคัญนะค่ะ ถ้าน้องๆอ่านๆๆๆหนังสืออย่างเดียวจนลืมทานข้าวแล้วละก็ นอกจากน้องๆจะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว อาจจะทำให้ป่วย และทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ด้วยนะจ๊ะ สำคัญเลย ต้องหาอะไรทานเมื่อท้องว่างด้วยน้า...อย่าทรมาณตัวเองละ
ข้อที่ 8.ในการอ่านหนังสือ น้องๆควรเลือกเวลาที่รู้สึกว่าสมองเราพร้อมจะทำงานด้วยนะจ๊ะ แล้วเมื่อน้องๆรู้สึกว่าเริ่มอ่านไม่ไหวแล้วล่ะ อ่านนานมากไปทำให้ปวดตา ปวดหัว ให้น้องๆพักก่อน อาจจะหาอย่างอื่นทำ เช่นพักสายตาโดยการหาเพลงเพราะๆฟัง(อ่ะๆๆๆเลือเพลงที่ฟังแล้วจรรโลงใจด้วยละ ถ้าฟังเพลงที่หนักไป อาจทำให้ยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่รู้ด้วยนะเจ้าค่ะ)จะดูทีวี เล่นเกม หรือกิจกรรมอื่นๆที่ทำแล้วผ่อนคลายก็หามาลองทำกันดูนะเจ้าค่ะ แต่ๆๆๆๆแล้วก็แต่...อย่าพักจนเพลินละ เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายผ่อนคลายเพียงพอแล้วก็กลับเข้าสู่โหมดการอ่านหนังสือต่อเลยยย (เอาน่าๆทนเอาหน่อยนะเจ้าค่ะ สอบไม่ได้มีมาบ่อยๆ ตั้งใจให้สุดๆไปเลย)
ข้อที่ 9.นั้นแน่ๆ พี่รู้นะว่าน้องๆเริ่มใส่ใจในรายละเอียดในการอ่านกันบ้างแล้ว คงคิดใช่มั้ยละ ว่าพี่จะแกล้งทำให้ข้อไหนหายไปอีกน่ะ!!! ดีแล้วค่ะถ้าน้องๆคิดแบบนี้นะ เป็นการฝึกตัวเองไปด้วย ให้เป็นคนรอบคอบ ดีค่ะๆ อ่ะต่อๆ
ข้อที่ 10.อ้า....อ่านไม่ทันแล้วอ่ะ!!!ทำไงดีๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนๆคนอื่นๆเกือบทุกคนละค่ะ ที่สำคัญเลย อย่าตื่นเต้นจนรนล่ะ ตั้งสตินะค่ะตรงนี้สำคัญมากๆเลย ให้น้องๆหยุดอ่านหนังสือต่อสักพักนึง แล้วดูซิว่า...พรุ่งนี้เราสอบวิชาอะไรบ้าง แล้วหยิบวิชาที่สอบเป็นวิชาแรกมาอ่านทบทวนก่อนเลย แล้วก็ทบทวนวิชาอื่นๆต่อไป (ตรงถ้าคิดว่ากลัวอ่านไม่ทันรอบทบทวนให้น้องๆอ่านในส่วนที่เน้น ที่สำคัญๆเอาไว้ก่อนเลย จำได้มั้ยเอ๋ยว่าในการอ่านรอบแรกพี่ให้น้องๆจดบันทึกที่สำคัญๆไว้ที่คิดว่าน่าจะออก หรือส่วนที่มันยาก จำไม่ได้ก็นำมาอ่านก่อนเลย ตรงส่วนไหนที่น้องๆจำได้ หรือเข้าใจก็เปิดผ่านๆเลยค่ะ ตอนนี้เราต้องทำเวลาแหละน่ะ)
ข้อที่ 11.เอาละ...อ่านหนังสือสอบก็ต้องฟิสหน่อย น้องๆบางคนอาจจะอ่านหนังสือเร็วและเข้าใจง่ายทำให้การอ่านหนังสือไม่ค่อยมีปัญหาเลยก็ดีไป ส่วนน้องคนไหนเป็นคนที่อ่านหนังสือช้าก็ต้องขยันกว่าคนอื่นๆหน่อยแล้ว อาจจะทำให้อ่านหนังสือไม่ทัน ทำให้ต้องนอนดึกหน่อย ก็อย่าลืมดูแลตัวเองนะค่ะ หานมอุ่นๆหรือของว่างทานสักนิดนึง ใส่ใจในสุขภาพหน่อยนะค่ะ เพราะเดี๋ยวน้องๆอาจป่วยได้ แล้วเป็นงัยน่ะ ไปสอบไม่ได้ แย่เลยน่ะเจ้าค่ะ สำคัญเลย ถ้าอ่านหนังสือไม่ทันแล้วจริงๆ แต่ร่างกายเราไม่ไหวแล้ว อย่าฝืนนะค่ะ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น รีบเตรียมตัวเข้านอนกันดีกว่าค่ะ ตื่นเช้ามาจะได้สดชื่น แถมถ้าเราตื่นเร็ว ก็จะมีเวลาอีกนิดในการทบทวนก่อนเข้าห้องสอบนะค่ะน้องๆ
ข้อที่ 2.แยกหมวดหมู่แต่ละวิชา ก่อน-หลัง แล้วหาที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบด้วยล่ะ
ข้อที่ 3.เตรียม ดินสอ/ปากกา สมุด และปากกาเน้นข้อความไว้ด้วยนะ
ข้อที่ 5.เริ่มอ่านวิชาที่จะต้องสอบก่อนเป็นวิชาแรกเลยค่ะ ตรงนี้แหละสำคัญมาก น้องๆอย่าอ่านๆๆๆๆๆแล้วก็อ่านเพื่อให้จบ แบบผ่านๆนะค่ะ ต่อให้น้องๆอ่านสัก 10 รอบแล้วบอกคนอื่นๆว่า "ก็เค้าอ่านเป็นสิบๆรอบแล้วอ่ะ แต่ทำไมทำข้อสอบไม่ได้เลยน่ะ?" อ่ะๆๆๆ!!! อ่านสัก 100 รอบก็ไม่ช่วยอะไรหรอกเจ้าค่ะ อ่านแล้วต้องทำความเข้าใจไปด้วย ตรงไหนที่คิดว่าสำคัญๆ น้องๆก็เน้นตรงจุดนั้นไว้ อาจจะใช้วิธีการจดบันทึกไว้ หรือ เน้นข้อความด้วยปากกาสีต่างๆก็ได้ค่ะ เพื่อว่าจะได้กลับมาอ่านอีกครั้ง
ข้อที่ 6.นั้นงัยๆๆๆพี่บอกไปตะกี้เองนะค่ะว่าอย่าอ่านแบบผ่านๆ ดูสิ!!!น้องๆลองกลับไปอ่านข้อ 3 ใหม่สิค่ะ แล้วดูซิว่าที่ต่อจากข้อ 3นะเป็นข้อที่เท่าไหร่ ข้อที่ 4หายไปๆๆๆๆ ส่วนน้องๆคนไหนสังเกตเห็นก่อนที่พี่เฉลย น้องก็ไม่มีปัญหาในเรื่องของการอ่านหนังสือแล้วละค่ะ เก่งมากๆเลย ส่วนน้องๆคนไหนที่ไม่ทันได้สังเกต ก็เอาจุดนี้เนี่ยแหละค่ะไปลองปรับใช้กับการอ่านหนังสือดูตามที่พี่บอกไว้ในข้อที่ 5 นะค่ะ
ข้อที่ 7.อ่ะ ต่อๆๆ การไม่ปล่อยให้ท้องว่างก็เป็นสิ่งสำคัญนะค่ะ ถ้าน้องๆอ่านๆๆๆหนังสืออย่างเดียวจนลืมทานข้าวแล้วละก็ นอกจากน้องๆจะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว อาจจะทำให้ป่วย และทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ด้วยนะจ๊ะ สำคัญเลย ต้องหาอะไรทานเมื่อท้องว่างด้วยน้า...อย่าทรมาณตัวเองละ
ข้อที่ 8.ในการอ่านหนังสือ น้องๆควรเลือกเวลาที่รู้สึกว่าสมองเราพร้อมจะทำงานด้วยนะจ๊ะ แล้วเมื่อน้องๆรู้สึกว่าเริ่มอ่านไม่ไหวแล้วล่ะ อ่านนานมากไปทำให้ปวดตา ปวดหัว ให้น้องๆพักก่อน อาจจะหาอย่างอื่นทำ เช่นพักสายตาโดยการหาเพลงเพราะๆฟัง(อ่ะๆๆๆเลือเพลงที่ฟังแล้วจรรโลงใจด้วยละ ถ้าฟังเพลงที่หนักไป อาจทำให้ยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่รู้ด้วยนะเจ้าค่ะ)จะดูทีวี เล่นเกม หรือกิจกรรมอื่นๆที่ทำแล้วผ่อนคลายก็หามาลองทำกันดูนะเจ้าค่ะ แต่ๆๆๆๆแล้วก็แต่...อย่าพักจนเพลินละ เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายผ่อนคลายเพียงพอแล้วก็กลับเข้าสู่โหมดการอ่านหนังสือต่อเลยยย (เอาน่าๆทนเอาหน่อยนะเจ้าค่ะ สอบไม่ได้มีมาบ่อยๆ ตั้งใจให้สุดๆไปเลย)
ข้อที่ 9.นั้นแน่ๆ พี่รู้นะว่าน้องๆเริ่มใส่ใจในรายละเอียดในการอ่านกันบ้างแล้ว คงคิดใช่มั้ยละ ว่าพี่จะแกล้งทำให้ข้อไหนหายไปอีกน่ะ!!! ดีแล้วค่ะถ้าน้องๆคิดแบบนี้นะ เป็นการฝึกตัวเองไปด้วย ให้เป็นคนรอบคอบ ดีค่ะๆ อ่ะต่อๆ
ข้อที่ 10.อ้า....อ่านไม่ทันแล้วอ่ะ!!!ทำไงดีๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนๆคนอื่นๆเกือบทุกคนละค่ะ ที่สำคัญเลย อย่าตื่นเต้นจนรนล่ะ ตั้งสตินะค่ะตรงนี้สำคัญมากๆเลย ให้น้องๆหยุดอ่านหนังสือต่อสักพักนึง แล้วดูซิว่า...พรุ่งนี้เราสอบวิชาอะไรบ้าง แล้วหยิบวิชาที่สอบเป็นวิชาแรกมาอ่านทบทวนก่อนเลย แล้วก็ทบทวนวิชาอื่นๆต่อไป (ตรงถ้าคิดว่ากลัวอ่านไม่ทันรอบทบทวนให้น้องๆอ่านในส่วนที่เน้น ที่สำคัญๆเอาไว้ก่อนเลย จำได้มั้ยเอ๋ยว่าในการอ่านรอบแรกพี่ให้น้องๆจดบันทึกที่สำคัญๆไว้ที่คิดว่าน่าจะออก หรือส่วนที่มันยาก จำไม่ได้ก็นำมาอ่านก่อนเลย ตรงส่วนไหนที่น้องๆจำได้ หรือเข้าใจก็เปิดผ่านๆเลยค่ะ ตอนนี้เราต้องทำเวลาแหละน่ะ)
ข้อที่ 11.เอาละ...อ่านหนังสือสอบก็ต้องฟิสหน่อย น้องๆบางคนอาจจะอ่านหนังสือเร็วและเข้าใจง่ายทำให้การอ่านหนังสือไม่ค่อยมีปัญหาเลยก็ดีไป ส่วนน้องคนไหนเป็นคนที่อ่านหนังสือช้าก็ต้องขยันกว่าคนอื่นๆหน่อยแล้ว อาจจะทำให้อ่านหนังสือไม่ทัน ทำให้ต้องนอนดึกหน่อย ก็อย่าลืมดูแลตัวเองนะค่ะ หานมอุ่นๆหรือของว่างทานสักนิดนึง ใส่ใจในสุขภาพหน่อยนะค่ะ เพราะเดี๋ยวน้องๆอาจป่วยได้ แล้วเป็นงัยน่ะ ไปสอบไม่ได้ แย่เลยน่ะเจ้าค่ะ สำคัญเลย ถ้าอ่านหนังสือไม่ทันแล้วจริงๆ แต่ร่างกายเราไม่ไหวแล้ว อย่าฝืนนะค่ะ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น รีบเตรียมตัวเข้านอนกันดีกว่าค่ะ ตื่นเช้ามาจะได้สดชื่น แถมถ้าเราตื่นเร็ว ก็จะมีเวลาอีกนิดในการทบทวนก่อนเข้าห้องสอบนะค่ะน้องๆ
วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551
สารเมลามีน คืออะไร?
ตลอดเดือนกันยายนที่ผ่านมา ข่าวที่สร้างความวิตกให้กับพวกเราชาวกินขนมเป็นอาชีพ (555) ไม่น้อย คือ ข่าวการปนเปื้อนสารเมลามีนในขนมและนม มีการเรียกเก็บขนมที่นำเข้าหรือมีส่วนผสมของนมจากประเทศจีนไปตรวจสอบกันวุ่นวายเลยนะคะ แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบว่า "เมลามีน" คืออะไร?
เมลามีนคืออะไร
เมลามีน (Melamine) เป็นสารอินทรีย์เคมี โดยทั่วไปพบในรูปของผลึกสีขาว ละลายน้ำได้เล็กน้อย มีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบถึงร้อยละ 66 มีชื่อทางเคมีคือ 1,3,5-triazine-2,4,6-triamine ในปัจจุบันการผลิตสารเมลามีนจะใช้ยูเรีย (Urea) เป็นวัตถุดิบ ซึ่งยูเรียจะแตกตัวออกได้เป็นสารเมลามีน แอมโมเนีย และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีการใช้เมลามีนในเรื่องใดบ้าง
เมื่อเอาเมลามีนมาผสมกับฟอร์มาลดีไฮด์ จะได้เป็นเมลามีนซิน (Melamine resin) เป็นพลาสติกที่ขึ้นรูปด้วยความร้อน มีความทนทาน มีการนำมาใช้ในผลิตโฟมทำความสะอาดพื้นผิว แผ่นฟอร์ไมกา กาว จาน ชาม ไวท์บอร์ด เป็นต้น
หากกินอาหารที่ปนเปื้อนเมลามีนจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างไร
ตัวเมลามีนเดี่ยวๆ มีความเป็นพิษต่ำมาก ไม่เป็นพิษต่อสารก่อพันธุกรรม แต่เมื่อให้ในปริมาณสูงก็ทำให้เกิดมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะในหนูทดลอง เนื่องจากเมลามีนทำให้เกิดก้อนนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ตัวก้อนนิ่วที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะปัสสาวะอยู่ตลอดเวลา กระตุ้นให้เกิดก้อนมะเร็ง ตัวเมลามีนเองไม่ได้ทำให้เกิดมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะโดยตรง แต่ก็ถือเป็นตัวการทางอ้อม แต่ถ้าเมลามีนเกิดไปเจอกับกรดไซยานูริก (Cyanuric acid) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ผลิตจากยูเรียเช่นเดียวกับเมลามีน และอาจมีการปนเปื้อนมากับเมลามีน หรือมีการผสมไปกับอาหารหรืออาหารสัตว์เพื่อเพิ่มโปรตีน ก็จะเกิดผลึกเมลามีนไซยานูเรต (Melamine cyanurate) ซึ่งเป็นผลึกที่ไม่ละลายน้ำ ส่งผลให้เกิดนิ่วในไต ก้อนผลึกเล็กๆ จะอุดตันท่อในไต ทำให้ไม่สามารถผลิตปัสสาวะได้ ส่งผลให้ไตวายและทำให้เสียชีวิตได้
จะรู้ได้อย่างไรว่าได้รับพิษจากเมลามีน
อาการที่อาจบอกได้ว่าได้รับพิษจากเมลามีน คือ อาการระคายเคือง มีเลือดในปัสสาวะ ปัสสาวะไม่ออกหรือออกน้อย อาการไตอักเสบ ความดันโลหิตสูง
จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์นม หรือผลิตภัณฑ์ที่มีนมเป็นส่วนประกอบให้ปลอดภัยได้อย่างไร
อย. มีการควบคุมการผลิตและนำเข้าอาหารอย่างเข้มงวด อาหารที่ผลิตภายในประเทศต้องได้มาตรฐานตามเกณฑ์จีเอ็มพี และมีการขึ้นทะเบียน มีเครื่องหมาย อย. อาหารที่นำเข้าก็ต้องมีคุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนด และต้องได้รับอนุญาตมีเครื่องหมาย อย. ดังนั้น การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารขอให้ดูที่ฉลากเป็นลำดับแรก ว่ามีการแสดงแหล่งประเทศที่ผลิต มีเครื่องหมาย อย. ดูความเรียบร้อยและสมบูรณ์ของภาชนะที่บรรจุว่าสะอาด ไม่มีร่องรอยรั่ว ฉีกขาด ซึ่งจะทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารเคมีและเชื้อจุลินทรีย์ได้ และดูสภาพการเก็บรักษา ไม่มีการวางปะปนกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตราย และเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่ควรซื้อนมผงที่มีลักษณะของการตักแบ่งขาย รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีการลักลอบนำเข้ามาจำหน่าย
ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักงานกรรมการอาหารและยา (อย.)
เมลามีนคืออะไร
เมลามีน (Melamine) เป็นสารอินทรีย์เคมี โดยทั่วไปพบในรูปของผลึกสีขาว ละลายน้ำได้เล็กน้อย มีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบถึงร้อยละ 66 มีชื่อทางเคมีคือ 1,3,5-triazine-2,4,6-triamine ในปัจจุบันการผลิตสารเมลามีนจะใช้ยูเรีย (Urea) เป็นวัตถุดิบ ซึ่งยูเรียจะแตกตัวออกได้เป็นสารเมลามีน แอมโมเนีย และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีการใช้เมลามีนในเรื่องใดบ้าง
เมื่อเอาเมลามีนมาผสมกับฟอร์มาลดีไฮด์ จะได้เป็นเมลามีนซิน (Melamine resin) เป็นพลาสติกที่ขึ้นรูปด้วยความร้อน มีความทนทาน มีการนำมาใช้ในผลิตโฟมทำความสะอาดพื้นผิว แผ่นฟอร์ไมกา กาว จาน ชาม ไวท์บอร์ด เป็นต้น
หากกินอาหารที่ปนเปื้อนเมลามีนจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างไร
ตัวเมลามีนเดี่ยวๆ มีความเป็นพิษต่ำมาก ไม่เป็นพิษต่อสารก่อพันธุกรรม แต่เมื่อให้ในปริมาณสูงก็ทำให้เกิดมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะในหนูทดลอง เนื่องจากเมลามีนทำให้เกิดก้อนนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ตัวก้อนนิ่วที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะปัสสาวะอยู่ตลอดเวลา กระตุ้นให้เกิดก้อนมะเร็ง ตัวเมลามีนเองไม่ได้ทำให้เกิดมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะโดยตรง แต่ก็ถือเป็นตัวการทางอ้อม แต่ถ้าเมลามีนเกิดไปเจอกับกรดไซยานูริก (Cyanuric acid) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ผลิตจากยูเรียเช่นเดียวกับเมลามีน และอาจมีการปนเปื้อนมากับเมลามีน หรือมีการผสมไปกับอาหารหรืออาหารสัตว์เพื่อเพิ่มโปรตีน ก็จะเกิดผลึกเมลามีนไซยานูเรต (Melamine cyanurate) ซึ่งเป็นผลึกที่ไม่ละลายน้ำ ส่งผลให้เกิดนิ่วในไต ก้อนผลึกเล็กๆ จะอุดตันท่อในไต ทำให้ไม่สามารถผลิตปัสสาวะได้ ส่งผลให้ไตวายและทำให้เสียชีวิตได้
จะรู้ได้อย่างไรว่าได้รับพิษจากเมลามีน
อาการที่อาจบอกได้ว่าได้รับพิษจากเมลามีน คือ อาการระคายเคือง มีเลือดในปัสสาวะ ปัสสาวะไม่ออกหรือออกน้อย อาการไตอักเสบ ความดันโลหิตสูง
จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์นม หรือผลิตภัณฑ์ที่มีนมเป็นส่วนประกอบให้ปลอดภัยได้อย่างไร
อย. มีการควบคุมการผลิตและนำเข้าอาหารอย่างเข้มงวด อาหารที่ผลิตภายในประเทศต้องได้มาตรฐานตามเกณฑ์จีเอ็มพี และมีการขึ้นทะเบียน มีเครื่องหมาย อย. อาหารที่นำเข้าก็ต้องมีคุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนด และต้องได้รับอนุญาตมีเครื่องหมาย อย. ดังนั้น การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารขอให้ดูที่ฉลากเป็นลำดับแรก ว่ามีการแสดงแหล่งประเทศที่ผลิต มีเครื่องหมาย อย. ดูความเรียบร้อยและสมบูรณ์ของภาชนะที่บรรจุว่าสะอาด ไม่มีร่องรอยรั่ว ฉีกขาด ซึ่งจะทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารเคมีและเชื้อจุลินทรีย์ได้ และดูสภาพการเก็บรักษา ไม่มีการวางปะปนกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตราย และเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่ควรซื้อนมผงที่มีลักษณะของการตักแบ่งขาย รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีการลักลอบนำเข้ามาจำหน่าย
ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักงานกรรมการอาหารและยา (อย.)
วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551
มีเพลงมาฝาก(อีกแล้ว)
มีเพลงมาฝากอีกตามเคยแล้ว คราวที่แล้วเอาเพลงของ Mariah Carey มาและในวันนี้ได้ฤกษ์เอาเพลงของ Whitney Houston มาให้ฟังกัน เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Bodyguard ที่ Whitney Houston ก็ได้แสดงและร้องเพลงประกอบด้วย ไปฟังกันเลย
I have Nothing - Whitney Houston
Share my life, take me for what I am
ร่วมชีวิตกับฉัน โปรดรับฉันในแบบที่ฉันเป็น
Cause I'll never change all my colours for you
เพราะฉันจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเธอ
Take my love, I'll never ask for too much
รับความรักจากฉันไปเถอะ ฉันไม่ได้ขอมากไปใช่ไหม
Just all that you are and everything that you do
ขอเพียงในสิ่งที่เธอเป็น และทุกๆสิ่งที่เธอทำ
I don't really need to look very much further
ฉันไม่จำเป็นต้องมองการณ์ไกลมากไปกว่านี้
I don't want to have to go where you don't follow
ฉันไม่จำเป็นต้องตามเธอไปในทุกๆที่ ที่เธอไม่ได้ไป
I won't hold it back again, this passion inside
ฉันจะไม่หลบหนีอีกแล้ว เมื่อความรักได้เข้ามาครอบงำ
Can't run from myself There's nowhere to hide
ไม่สามารถออกไปจากใจฉันได้ และไม่มีที่ไหนที่จะซ่อนเร้นได้เลย
(Your love I'll remember forever)
ความรักของเธอที่ฉันจะจดจำไปตลอดกาล
Chorus : Don't make me close one more door
อย่าทำให้ฉันต้องหนีหัวใจตัวเองเลย
I don't wanna hurt anymore
ฉันไม่อยากทนเจ็บปวดอีกต่อไป
Stay in my arms if you dare
โปรดอยู่ในวงแขนของฉัน หากเธอต้องการ
Or must I imagine you there
มิฉะนั้น ฉันก็ต้องจินตนาการว่าเธออยู่ตรงนั้น
Don't walk away from me...
ได้โปรด อย่าไปจากฉัน
I have nothing, nothing, nothing
ฉันไม่มีอะไร.................
If I don't have you, you, you, you.
ถ้าฉันขาดเธอ......................
You see through, right to the heart of me
เมื่อเธอมองทะลุหัวใจของฉัน
You break down my walls with the strength of your love
เธอได้ทลายกำแพงหัวใจฉันด้วยความรักที่มั่นคง
I never knew love like I've known it with you
ฉันไม่เคยรู้จักความรักมาก่อน จนกระทั่งได้พบเธอ
Will a memory survive,one I can hold on to
ความทรงจำแห่งความรักยังคงอยู่เป็นสิ่งเดียวตลอดไป
[Chorus]
I have Nothing - Whitney Houston
Share my life, take me for what I am
ร่วมชีวิตกับฉัน โปรดรับฉันในแบบที่ฉันเป็น
Cause I'll never change all my colours for you
เพราะฉันจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเธอ
Take my love, I'll never ask for too much
รับความรักจากฉันไปเถอะ ฉันไม่ได้ขอมากไปใช่ไหม
Just all that you are and everything that you do
ขอเพียงในสิ่งที่เธอเป็น และทุกๆสิ่งที่เธอทำ
I don't really need to look very much further
ฉันไม่จำเป็นต้องมองการณ์ไกลมากไปกว่านี้
I don't want to have to go where you don't follow
ฉันไม่จำเป็นต้องตามเธอไปในทุกๆที่ ที่เธอไม่ได้ไป
I won't hold it back again, this passion inside
ฉันจะไม่หลบหนีอีกแล้ว เมื่อความรักได้เข้ามาครอบงำ
Can't run from myself There's nowhere to hide
ไม่สามารถออกไปจากใจฉันได้ และไม่มีที่ไหนที่จะซ่อนเร้นได้เลย
(Your love I'll remember forever)
ความรักของเธอที่ฉันจะจดจำไปตลอดกาล
Chorus : Don't make me close one more door
อย่าทำให้ฉันต้องหนีหัวใจตัวเองเลย
I don't wanna hurt anymore
ฉันไม่อยากทนเจ็บปวดอีกต่อไป
Stay in my arms if you dare
โปรดอยู่ในวงแขนของฉัน หากเธอต้องการ
Or must I imagine you there
มิฉะนั้น ฉันก็ต้องจินตนาการว่าเธออยู่ตรงนั้น
Don't walk away from me...
ได้โปรด อย่าไปจากฉัน
I have nothing, nothing, nothing
ฉันไม่มีอะไร.................
If I don't have you, you, you, you.
ถ้าฉันขาดเธอ......................
You see through, right to the heart of me
เมื่อเธอมองทะลุหัวใจของฉัน
You break down my walls with the strength of your love
เธอได้ทลายกำแพงหัวใจฉันด้วยความรักที่มั่นคง
I never knew love like I've known it with you
ฉันไม่เคยรู้จักความรักมาก่อน จนกระทั่งได้พบเธอ
Will a memory survive,one I can hold on to
ความทรงจำแห่งความรักยังคงอยู่เป็นสิ่งเดียวตลอดไป
[Chorus]
วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551
วิทนีย์ ฮูสตัน
วิทนีย์ ฮูสตัน (Whitney Houston) หรือชื่อจริงว่า วิทนีย์ เอลิซาเบธ ฮูสตัน (Whitney Elizabeth Houston)(เกิดวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2506) เป็นนักร้องเพลงป็อป/อาร์แอนด์บี เจ้าของเพลงดังอย่าง I Will Always Love You,Saving All My Love For You และ Greatest Love Of All เป็นต้น
ประวัติ
วิทนีย์ เกิดที่ นิวอาร์ค ในนิวเจอร์ซีย์ เป็นลูกของซิสซี่ ฮูสตัน นักร้องกอสเปลชื่อดัง ส่วนดิออน วอริค เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเธอ วิทนีย์เริ่มร้องประสานเสียงในโบสถ์และได้เป็นผู้ร้องนำ ครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 12 ปี เริ่มเข้าวงการฐานะนักร้องประสานเสียง (เคยร่วมงาน กับชาก้า คาน และไปปรากฏตัวในคอนเสิร์ตของคุณแม่อยู่บ่อย ๆ) ต่อมาก็ก้าวเข้าสู่โลก นางแบบเมื่อปี 2524 เธอเคยเป็นปกให้นิตยสารกลาเมอร์ และเซเว่นทีน อัลบั้มแรก "Whitney Houston" ออกขายในปี 2528 โดยมีเพลงฮิตเพลงแรกคือ "You Give Good Love" ขึ้นสูงสุดอันดับ 3 ในอเมริกา ตามมาด้วยเพลงอันดับ 1 อีก 3 เพลงคือ "Saving All My Love for You","How Will I Know"และ "Greatest Love of All" อัลบั้ม "Whitney" ในปี พ.ศ. 2530 สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการ เป็นอัลบั้มของศิลปินหญิงชุดแรก ที่เข้าอันดับสัปดาห์แรก อันดับที่ 1 ในนิตยสารบิลบอร์ด วิทนีย์สร้างสถิติในการ มีซิงเกิ้ลที่ติดอันดับ 1 ถึง 7 เพลงติดต่อกัน รวมทั้ง I Wanna Dance With Somebody (Who Loves Me),So Emotional และ Where Do Broken Hearts Go หลังจากนั้นอีก 3 ปี วิทนีย์ก็ออกอัลบั้ม I'm Your Baby Tonight ซึ่งมีเพลงฮิตอีกมากมายหลายเพลง รวมทั้งเพลงที่เป็น ไทเทิ่ล แทร็ค เพลง I'm Your Baby Tonight ที่ขึ้นถึงอันดับ 1 ตามมาด้วยเพลงอันดับ 1 "All the Man That I Need" ขึ้นชาร์ทบิลบอร์ดนาน 2 สัปดาห์ ในปี พ.ศ.2535
วิทนีย์แต่งงานกับนักร้องหนุ่มบ็อบบี้ บราวน์ และยังแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกคู่กับเควิน คอสท์เนอร์ เรื่อง The Bodyguard ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความนิยม ตัวเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้คือ เพลง I Will Always Love You ครองอันดับ 1 อยู่นานถึง 14 สัปดาห์ นอกจากนี้ อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Bodyguard ยังได้รับรางวัลแกรมมี่สาขาอัลบั้มยอดเยี่ยมประจำปี 2536 ด้วยวิทนีย์ก็ยังคงมีงานแสดงภาพยนตร์ควบคู่ไปกับงาน เพลงต่อไปโดยมีภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่าง สูงเรื่อง Waiting To Exhale ในปี พ.ศ.2538 เปิดตัวด้วยเพลงอันดับ 1 "Exhale (Shoop Shoop)" หลังจากนั้นอีก 1 ปี วิทนีย์ก็ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง The Preacher's Wife คู่กับเดนเซล วอชิงตัน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากเช่นกัน และเพลงประกอบภาพยนตร์ เรื่องนี้ก็ติดอันดับเพลงกอสเปลของนิตยสารบิลบอร์ด เธอได้เข้าวงการโทรทัศน์ในปี 1997 กับรายการภาพยนตร์ชุดทางทีวีเรื่อง Cinderella ซึ่งกลายเป็นรายการที่เรียกเรตติ้งได้สูงสุด ในรอบกว่า 10 ปีของเอบีซีของสถานีโทรทัศน์เอบีซี รายการดังกล่าวเป็นรายการคืนวันอาทิตย์ ของเอบีซี ที่มีผู้ชมสูงสุดในรอบทศวรรษ ในปี พ.ศ.2541 วิทนีย์ออกอัลบั้ม My Love Is Your Love ชุดแรกในรอบ 8 ปีที่ไม่ใช่อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ อัลบั้มนี้เธอทำงานร่วมกับ Wyclef Jean, Missy Elliott,Lauryn Hill และ Babyface โดยเพลงแรก"When You Believe" ที่ร้องคู่กับมารายห์ แครี และเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง The Prince of Egypt เพลงนี้ได้รับรางวัลออสการ์ด้วย ซิงเกิ้ลต่อมา "Heartbreak Hotel" (ร่วมร้องกับ Faith Evans และ Kelly Price),"It's Not Right but It's Okay" (เพลงนี้ชนะรางวัลแกรมมี่ ซึ่งเป็นตัวที่ 6 ของเธอ )และ "My Love Is Your Love" ขึ้นชาร์ทติด1 ใน 5 ต่อมาเธอได้ร่วมร้องเพลงในงาน VH1 Diva's Live '99 ร่วมกับนักร้องดีวาส์อย่าง Mary J.Blige,Tina Turner,Cherและ Chaka Khan ในปี พ.ศ.2543 เธอออกอัลบั้มคู่ รวมเพลงฮิตที่ใช้ชื่อง่าย ๆ ว่า The Greatest Hits มีเพลงที่ร้องกับ Enrique Iglesias เพลง Could I Have This Kiss Forever,จอร์จ ไมเคิล เพลง If I Told You Thatและ Deborah Cox เพลง "Same Script,Different Cast" อัลบั้ม Just Whitney ออกวางขายในปี พ.ศ.2545 ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
ประวัติ
วิทนีย์ เกิดที่ นิวอาร์ค ในนิวเจอร์ซีย์ เป็นลูกของซิสซี่ ฮูสตัน นักร้องกอสเปลชื่อดัง ส่วนดิออน วอริค เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเธอ วิทนีย์เริ่มร้องประสานเสียงในโบสถ์และได้เป็นผู้ร้องนำ ครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 12 ปี เริ่มเข้าวงการฐานะนักร้องประสานเสียง (เคยร่วมงาน กับชาก้า คาน และไปปรากฏตัวในคอนเสิร์ตของคุณแม่อยู่บ่อย ๆ) ต่อมาก็ก้าวเข้าสู่โลก นางแบบเมื่อปี 2524 เธอเคยเป็นปกให้นิตยสารกลาเมอร์ และเซเว่นทีน อัลบั้มแรก "Whitney Houston" ออกขายในปี 2528 โดยมีเพลงฮิตเพลงแรกคือ "You Give Good Love" ขึ้นสูงสุดอันดับ 3 ในอเมริกา ตามมาด้วยเพลงอันดับ 1 อีก 3 เพลงคือ "Saving All My Love for You","How Will I Know"และ "Greatest Love of All" อัลบั้ม "Whitney" ในปี พ.ศ. 2530 สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการ เป็นอัลบั้มของศิลปินหญิงชุดแรก ที่เข้าอันดับสัปดาห์แรก อันดับที่ 1 ในนิตยสารบิลบอร์ด วิทนีย์สร้างสถิติในการ มีซิงเกิ้ลที่ติดอันดับ 1 ถึง 7 เพลงติดต่อกัน รวมทั้ง I Wanna Dance With Somebody (Who Loves Me),So Emotional และ Where Do Broken Hearts Go หลังจากนั้นอีก 3 ปี วิทนีย์ก็ออกอัลบั้ม I'm Your Baby Tonight ซึ่งมีเพลงฮิตอีกมากมายหลายเพลง รวมทั้งเพลงที่เป็น ไทเทิ่ล แทร็ค เพลง I'm Your Baby Tonight ที่ขึ้นถึงอันดับ 1 ตามมาด้วยเพลงอันดับ 1 "All the Man That I Need" ขึ้นชาร์ทบิลบอร์ดนาน 2 สัปดาห์ ในปี พ.ศ.2535
วิทนีย์แต่งงานกับนักร้องหนุ่มบ็อบบี้ บราวน์ และยังแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกคู่กับเควิน คอสท์เนอร์ เรื่อง The Bodyguard ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความนิยม ตัวเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้คือ เพลง I Will Always Love You ครองอันดับ 1 อยู่นานถึง 14 สัปดาห์ นอกจากนี้ อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Bodyguard ยังได้รับรางวัลแกรมมี่สาขาอัลบั้มยอดเยี่ยมประจำปี 2536 ด้วยวิทนีย์ก็ยังคงมีงานแสดงภาพยนตร์ควบคู่ไปกับงาน เพลงต่อไปโดยมีภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่าง สูงเรื่อง Waiting To Exhale ในปี พ.ศ.2538 เปิดตัวด้วยเพลงอันดับ 1 "Exhale (Shoop Shoop)" หลังจากนั้นอีก 1 ปี วิทนีย์ก็ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง The Preacher's Wife คู่กับเดนเซล วอชิงตัน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากเช่นกัน และเพลงประกอบภาพยนตร์ เรื่องนี้ก็ติดอันดับเพลงกอสเปลของนิตยสารบิลบอร์ด เธอได้เข้าวงการโทรทัศน์ในปี 1997 กับรายการภาพยนตร์ชุดทางทีวีเรื่อง Cinderella ซึ่งกลายเป็นรายการที่เรียกเรตติ้งได้สูงสุด ในรอบกว่า 10 ปีของเอบีซีของสถานีโทรทัศน์เอบีซี รายการดังกล่าวเป็นรายการคืนวันอาทิตย์ ของเอบีซี ที่มีผู้ชมสูงสุดในรอบทศวรรษ ในปี พ.ศ.2541 วิทนีย์ออกอัลบั้ม My Love Is Your Love ชุดแรกในรอบ 8 ปีที่ไม่ใช่อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ อัลบั้มนี้เธอทำงานร่วมกับ Wyclef Jean, Missy Elliott,Lauryn Hill และ Babyface โดยเพลงแรก"When You Believe" ที่ร้องคู่กับมารายห์ แครี และเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง The Prince of Egypt เพลงนี้ได้รับรางวัลออสการ์ด้วย ซิงเกิ้ลต่อมา "Heartbreak Hotel" (ร่วมร้องกับ Faith Evans และ Kelly Price),"It's Not Right but It's Okay" (เพลงนี้ชนะรางวัลแกรมมี่ ซึ่งเป็นตัวที่ 6 ของเธอ )และ "My Love Is Your Love" ขึ้นชาร์ทติด1 ใน 5 ต่อมาเธอได้ร่วมร้องเพลงในงาน VH1 Diva's Live '99 ร่วมกับนักร้องดีวาส์อย่าง Mary J.Blige,Tina Turner,Cherและ Chaka Khan ในปี พ.ศ.2543 เธอออกอัลบั้มคู่ รวมเพลงฮิตที่ใช้ชื่อง่าย ๆ ว่า The Greatest Hits มีเพลงที่ร้องกับ Enrique Iglesias เพลง Could I Have This Kiss Forever,จอร์จ ไมเคิล เพลง If I Told You Thatและ Deborah Cox เพลง "Same Script,Different Cast" อัลบั้ม Just Whitney ออกวางขายในปี พ.ศ.2545 ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551
Whitney Houston
คราวที่แล้วเราได้นำเรื่องราวของนักร้องที่ชื่อ Mariah Carey มาให้ชมกันแล้ว วันนี้เราก็ขอนำเรื่องราวของ Whitney Houston นักร้องที่มีเสียงอันทรงพลังอีกคนหนึ่งที่ร้องเพลง When You Believe มาให้เพื่อนๆได้ชมกัน
Whitney Elizabeth Houston est une chanteuse, actrice, productrice et ancienne mannequin américaine, née le 9 août 1963, à Newark dans le New Jersey.
L'enfance
Fille de Cissy Houston,une choriste R&B renommée aux États-Unis d'Amérique,et cousine de la très célèbre chanteuse Dionne Warwick,la petite Whitney Elizabeth a grandi dans un environnement fortement musical.Enfant,elle chantait docilement dans l'église baptiste de Newark,avec pour unique ambition de devenir choriste comme sa mère.Mais quand elle interpréta son premier solo,à l'âge de 11 ans,il fut clair qu'elle était faite pour le devant de la scène.Son interprétation émut les fidèles aux larmes.Et malgré la timidité de Whitney, son exceptionnelle beauté,alliée à une voix impressionnante,l'amenèrent sous la lumière des projecteurs.Houston chanta professionnellement pour la première fois dès l'adolescence,comme choriste de Chaka Khan,Jermaine Jackson,Lou Rawls et les Neville Brothers.Elle apparut aussi comme chanteuse principale sur le single de Michael Zager Band,Life's a Party en 1978. C'était une jeune fille svelte à la ligne élégante et elle fit du mannequinat avec succès à la même époque,apparaissant sur les couvertures de grands magazines américains comme Glamour et Seventeen (en 1981).
Début de sa carrière musicale
En 1983,elle signe un contrat avec Clive Davis,le président de la maison de disques Arista.Deux ans passent avant la sortie de son premier album,pendant lesquels elle choisit avec ses conseillers les chansons du disque,et se fait davantage connaître, apparaissant à la télévision,chantant devant des gens importants du show-business et posant pour des magazines.Son premier album,sur lequel on découvre sa technique vocale fluide et virtuose,s'intitule simplement Whitney Houston.Il paraît en 1985 et génère trois singles no 1:Saving All My Love for You,How Will I Know? et Greatest Love Of All.L'album,qui s'est vendu à ce jour à 23 millions d'exemplaires,est le premier album solo le plus vendu de tous les temps.Whitney passe les deux années suivantes en tournée pour promouvoir le disque.D'autres succès fracassants suivent en 1987 et 88:le deuxième album,Whitney,s'installe dès sa sortie en première position du Top Albums américain (c'est la première fois qu'un tel exploit est réalisé par une femme).De plus,elle est le premier artiste de toute l'histoire à aligner sept no 1 consécutifs au Top 50 US,battant un record détenu par les Beatles et les Bee Gees.En 1990,paraît le troisième album de Whitney,I'm Your Baby Tonight. Il a un peu moins de succès que ses albums précédents,mais en sortent néanmoins deux tubes n°1:"I'm your baby tongiht" et "All the man that I need".Cet album marque également sa première collaboration avec le fameux duo de producteurs L.A.Reid & Babyface qui donnent un côté plus Urban/Soul à l'album.Babyface devient son auteur-compositeur-producteur favori et on le retrouve dans la plupart de ses futurs gros projets et dans tous ses albums.En 1990,Whitney s'installe dans la somptueuse villa qu'elle a acheté à Mendham,une ville résidentielle du New Jersey.Après des liaisons supposées avec Jermaine Jackson,Eddie Murphy et le joueur de football américain Randall Cunningham,elle s'éprend du chanteur Bobby Brown.En 1992,la reine de la musique soul et le prince du New Jack Swing se marient devant 800 invités.Le public est sceptique devant cette union.Brown apporte un certain poids dans le mariage, notamment trois enfants qu'il avait eus avec deux autres femmes.Ensemble,ils ont eu une fille:Bobbi Kristina,née le 4 mars 1993.La réputation de coureur de jupons de son mari et les problèmes qu'il a eus avec la justice,font que Whitney est prise en pitié ou critiquée par certains observateurs.D'autres pensent que c'est elle qui est difficile à vivre.Whitney a la réputation d'avoir le caractère d'une prima donna.Depuis 1990,Whitney a réussi à conserver la célébrité qu'elle a si facilement acquise,bien qu'elle sorte moins de disques que dans les années 1980.Sa carrière et sa vie ont cependant été très actives:elle a conquis le monde du cinéma et mis au monde une fille,tout en navigant sur les eaux peu tranquilles de sa vie privée.Son premier film,Bodyguard (1992),a engrangé plus de 400 million $ au box-office,et la bande originale est la plus vendue de tous les temps (plus de 37 millions d'exemplaires),grâce notamment à la fameuse chanson I will always love you de Dolly Parton.En 1995,Whitney joue dans Waiting To Exhale (Où sont les hommes?),qui a également un succès phénoménal aux États-Unis,ainsi que la B.O.,entièrement composée et produite par Babyface,pour laquelle elle enregistre trois nouvelles chansons.Son troisième film,The Preacher's Wife (La Femme du Pasteur) (1996) ne marche pas aussi fort,mais c'est l'occasion de retourner à ses racines dans la musique gospel. L'album comporte 15 nouvelles chansons dont 14 de Whitney et il génère plusieurs tubes dont Step By Step.Whitney interpréte le rôle de la fée-marraine de Cendrillon dans le téléfilm «Cinderella»,comédie musicale,qui est diffusée pour la première fois à la TV américaine un soir de novembre1997,devenant l'un des shows TV les plus regardés de tous les temps dans ce pays.La carrière de Whitney se poursuit avec l'enregistrement de l'album «My Love Is Your Love»,qui sort en novembre1998.Cet album est le premier album de Whitney en huit ans.Depuis 1990,elle n'avait enregistré que des chansons pour bandes originales de films).On y découvre un son différent et plus jeune, avec des titres écrits et produits par les musiciens les plus talentueux du moment:Rodney Jerkins,Babyface,Missy Elliott,Lauryn Hill,Wyclef Jean,Soulshock & Karlin.D'autres chansons de l'album sont davantage dans le style habituel de Whitney (les ballades de Diane Warren et David Foster).À ce jour, l'album a produit quatre tubes planétaires (When You Believe, Heartbreak Hotel,It's Not Right But It's Okay,My Love Is Your Love) et il s'est vendu à plus de 11 millions d'exemplaires.Tout en menant son exceptionnelle carrière,Whitney Houston travaille beaucoup pour des œuvres de charité,gagnant et versant d'importantes sommes d'argent à des organisations aidant les enfants et la jeunesse,et à des organismes de lutte contre le SIDA.En 1989,elle a fondé la Whitney Houston Foundation For Children Inc.,qui apporte son soutien aux enfants sans-abris et aux enfants malades.En 2003,elle sort son 6e album One Wish:The Holiday Album,qui n'aura pas vraiment de succès.Elle a vendu 54 millions d'albums RIAA certification 2007.
Vie privée
2000:une année difficile pour Whitney.Elle est arrêtée à l'aéroport de Hawaï aux États-Unis en possession de marijuana.Ensuite,elle est incapable d'assister à une remise de prix aux Oscars,le public s'interroge et soupçonne l'histoire de drogue dont parlent les journaux.La prestation qu'aurait dû donner Whitney aux Oscars a été donné à Faith Hill.Plus tard,il s'est avéré que c'est la situation d'instabilité avec son mari Bobby qui lui cause tous ces scandales avec la presse et les médias.Malgré tout,en fin 2000,Greatest Hits, l'album de tous ses succès est sorti, avec des duos avec George Michael et Enrique Iglesias suivi par une nouvelle compilation en 2001 intitulée love,Whitney et un album 'just,whitney' en 2002.
En septembre 2006,Whitney décide de divorcer de Bobby Brown et annonce l'enregistrement d'un nouvel album, le premier depuis trois ans,et qui pourrait marquer son grand retour sur le devant de la scène.Il sera produit par Clive Davis son ancien mentor.Le divorce est prononcé le 24 avril 2007 et entraîne la vente de leurs biens communs.
Whitney Elizabeth Houston est une chanteuse, actrice, productrice et ancienne mannequin américaine, née le 9 août 1963, à Newark dans le New Jersey.
L'enfance
Fille de Cissy Houston,une choriste R&B renommée aux États-Unis d'Amérique,et cousine de la très célèbre chanteuse Dionne Warwick,la petite Whitney Elizabeth a grandi dans un environnement fortement musical.Enfant,elle chantait docilement dans l'église baptiste de Newark,avec pour unique ambition de devenir choriste comme sa mère.Mais quand elle interpréta son premier solo,à l'âge de 11 ans,il fut clair qu'elle était faite pour le devant de la scène.Son interprétation émut les fidèles aux larmes.Et malgré la timidité de Whitney, son exceptionnelle beauté,alliée à une voix impressionnante,l'amenèrent sous la lumière des projecteurs.Houston chanta professionnellement pour la première fois dès l'adolescence,comme choriste de Chaka Khan,Jermaine Jackson,Lou Rawls et les Neville Brothers.Elle apparut aussi comme chanteuse principale sur le single de Michael Zager Band,Life's a Party en 1978. C'était une jeune fille svelte à la ligne élégante et elle fit du mannequinat avec succès à la même époque,apparaissant sur les couvertures de grands magazines américains comme Glamour et Seventeen (en 1981).
Début de sa carrière musicale
En 1983,elle signe un contrat avec Clive Davis,le président de la maison de disques Arista.Deux ans passent avant la sortie de son premier album,pendant lesquels elle choisit avec ses conseillers les chansons du disque,et se fait davantage connaître, apparaissant à la télévision,chantant devant des gens importants du show-business et posant pour des magazines.Son premier album,sur lequel on découvre sa technique vocale fluide et virtuose,s'intitule simplement Whitney Houston.Il paraît en 1985 et génère trois singles no 1:Saving All My Love for You,How Will I Know? et Greatest Love Of All.L'album,qui s'est vendu à ce jour à 23 millions d'exemplaires,est le premier album solo le plus vendu de tous les temps.Whitney passe les deux années suivantes en tournée pour promouvoir le disque.D'autres succès fracassants suivent en 1987 et 88:le deuxième album,Whitney,s'installe dès sa sortie en première position du Top Albums américain (c'est la première fois qu'un tel exploit est réalisé par une femme).De plus,elle est le premier artiste de toute l'histoire à aligner sept no 1 consécutifs au Top 50 US,battant un record détenu par les Beatles et les Bee Gees.En 1990,paraît le troisième album de Whitney,I'm Your Baby Tonight. Il a un peu moins de succès que ses albums précédents,mais en sortent néanmoins deux tubes n°1:"I'm your baby tongiht" et "All the man that I need".Cet album marque également sa première collaboration avec le fameux duo de producteurs L.A.Reid & Babyface qui donnent un côté plus Urban/Soul à l'album.Babyface devient son auteur-compositeur-producteur favori et on le retrouve dans la plupart de ses futurs gros projets et dans tous ses albums.En 1990,Whitney s'installe dans la somptueuse villa qu'elle a acheté à Mendham,une ville résidentielle du New Jersey.Après des liaisons supposées avec Jermaine Jackson,Eddie Murphy et le joueur de football américain Randall Cunningham,elle s'éprend du chanteur Bobby Brown.En 1992,la reine de la musique soul et le prince du New Jack Swing se marient devant 800 invités.Le public est sceptique devant cette union.Brown apporte un certain poids dans le mariage, notamment trois enfants qu'il avait eus avec deux autres femmes.Ensemble,ils ont eu une fille:Bobbi Kristina,née le 4 mars 1993.La réputation de coureur de jupons de son mari et les problèmes qu'il a eus avec la justice,font que Whitney est prise en pitié ou critiquée par certains observateurs.D'autres pensent que c'est elle qui est difficile à vivre.Whitney a la réputation d'avoir le caractère d'une prima donna.Depuis 1990,Whitney a réussi à conserver la célébrité qu'elle a si facilement acquise,bien qu'elle sorte moins de disques que dans les années 1980.Sa carrière et sa vie ont cependant été très actives:elle a conquis le monde du cinéma et mis au monde une fille,tout en navigant sur les eaux peu tranquilles de sa vie privée.Son premier film,Bodyguard (1992),a engrangé plus de 400 million $ au box-office,et la bande originale est la plus vendue de tous les temps (plus de 37 millions d'exemplaires),grâce notamment à la fameuse chanson I will always love you de Dolly Parton.En 1995,Whitney joue dans Waiting To Exhale (Où sont les hommes?),qui a également un succès phénoménal aux États-Unis,ainsi que la B.O.,entièrement composée et produite par Babyface,pour laquelle elle enregistre trois nouvelles chansons.Son troisième film,The Preacher's Wife (La Femme du Pasteur) (1996) ne marche pas aussi fort,mais c'est l'occasion de retourner à ses racines dans la musique gospel. L'album comporte 15 nouvelles chansons dont 14 de Whitney et il génère plusieurs tubes dont Step By Step.Whitney interpréte le rôle de la fée-marraine de Cendrillon dans le téléfilm «Cinderella»,comédie musicale,qui est diffusée pour la première fois à la TV américaine un soir de novembre1997,devenant l'un des shows TV les plus regardés de tous les temps dans ce pays.La carrière de Whitney se poursuit avec l'enregistrement de l'album «My Love Is Your Love»,qui sort en novembre1998.Cet album est le premier album de Whitney en huit ans.Depuis 1990,elle n'avait enregistré que des chansons pour bandes originales de films).On y découvre un son différent et plus jeune, avec des titres écrits et produits par les musiciens les plus talentueux du moment:Rodney Jerkins,Babyface,Missy Elliott,Lauryn Hill,Wyclef Jean,Soulshock & Karlin.D'autres chansons de l'album sont davantage dans le style habituel de Whitney (les ballades de Diane Warren et David Foster).À ce jour, l'album a produit quatre tubes planétaires (When You Believe, Heartbreak Hotel,It's Not Right But It's Okay,My Love Is Your Love) et il s'est vendu à plus de 11 millions d'exemplaires.Tout en menant son exceptionnelle carrière,Whitney Houston travaille beaucoup pour des œuvres de charité,gagnant et versant d'importantes sommes d'argent à des organisations aidant les enfants et la jeunesse,et à des organismes de lutte contre le SIDA.En 1989,elle a fondé la Whitney Houston Foundation For Children Inc.,qui apporte son soutien aux enfants sans-abris et aux enfants malades.En 2003,elle sort son 6e album One Wish:The Holiday Album,qui n'aura pas vraiment de succès.Elle a vendu 54 millions d'albums RIAA certification 2007.
Vie privée
2000:une année difficile pour Whitney.Elle est arrêtée à l'aéroport de Hawaï aux États-Unis en possession de marijuana.Ensuite,elle est incapable d'assister à une remise de prix aux Oscars,le public s'interroge et soupçonne l'histoire de drogue dont parlent les journaux.La prestation qu'aurait dû donner Whitney aux Oscars a été donné à Faith Hill.Plus tard,il s'est avéré que c'est la situation d'instabilité avec son mari Bobby qui lui cause tous ces scandales avec la presse et les médias.Malgré tout,en fin 2000,Greatest Hits, l'album de tous ses succès est sorti, avec des duos avec George Michael et Enrique Iglesias suivi par une nouvelle compilation en 2001 intitulée love,Whitney et un album 'just,whitney' en 2002.
En septembre 2006,Whitney décide de divorcer de Bobby Brown et annonce l'enregistrement d'un nouvel album, le premier depuis trois ans,et qui pourrait marquer son grand retour sur le devant de la scène.Il sera produit par Clive Davis son ancien mentor.Le divorce est prononcé le 24 avril 2007 et entraîne la vente de leurs biens communs.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)