วันนี้เราก็มีเพลงหนึ่งของ Mariah Carey มาฝากกันนะ แต่เพลงนี้ Mariah ไม่ได้ร้องคนเดียวยังมี Whitney Houston ร้องด้วย ชื่อเพลงว่า When you believe เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Prince of Egypt ของ Walt Disney นะ
เพลงนี้ใช้พลังเสียงเยอะมาก เพราะเป็นนักร้องที่มีคุณภาพทั้งคู่เลย ถ้าใครร้องได้นี่เก่งจริงๆ เราก็มีเพลงและเนื้อเพลงซึ่งแปลมาเรียบร้อยแล้ว ความหมายดีมากนะเพลงนี้ ลองไปฟังกัน
When You Believe - Mariah Carey VS Whitney Houston
Many nights we pray with no proof anyone could hear
หลายราตรีที่เราต่างภาวนาโดยไม่อาจรู้ว่าใครจะได้ยินหรือเปล่า
In our hearts a hopeful song. We barely understood
ในดวงใจเรามีเสียงขับกล่อมด้วยเพลงแห่งความหวัง เราต่างเข้าใจโดยแท้
Now we are not afraid. Although we know there’s much to fear
ตอนนี้เราไม่เกรงกลัว ถึงแม้เราจะรู้ว่าเรากลัวมากเพียงใด
We were moving mountains long before we know we could
เราสามารถจะเคลื่อนย้ายภูผาได้กว่าที่เราจะรู้ตัวเองเสียอีก
*There can be miracles when you believe(when you believe)
มีปาฏิหารย์มากมายเมื่อยามที่คุณเชื่อมั่น
Though hope is frail. It’s hard to kill
แม้ความหวังจะบอบบาง แต่ยากจะทำลาย
Who knows what miracles
ใครจะรู้ว่าปาฏิหารย์เป็นอย่างไร
You can achieve(You can achieve)when you believe
แต่คุณรู้ได้ เมื่อยามที่คุณเชื่อมั่น
Somehow you will. You will when you believe
บางครั้งที่เธอปรารถนา ทุกสิ่งจะสำเร็จได้เมื่อยามที่คุณเชื่อมั่น
In this time of fear
ในช่วงเวลาอันหวาดหวั่น
When prayer so often proves in vain,
ยามเมื่อการพร่ำสวดไร้ซึ่งผลสำเร็จ
hope seems like the summer birds too swiftly flown away
ความหวังเหมือนดั่งปักษาในฤดูร้อนที่โบยบินไปไกลแสนไกล
And now I’m standing here
และตอนนี้ฉันก็ยืนหยัดอยู่ตรงนี้แล้ว
My heart so full. I can’t explain
ด้วยใจที่มั่นคง ไม่อาจอธิบายได้
Seeking faith and speaking words
ค้นหาศรัทธาและบอกกล่าวเป็นคำพูด
I never thought I’d say
ไม่คิดเลยว่าจะพูดได้แบบนี้
(*)
They don’t always happen when you ask
มันจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าเธอไม่ขอ
And it’s easy to give in to your fear
และมันช่างง่ายเหลือเกินที่จะยอมพ่ายแพ้เพียงเพราะความหวาดกลัว
But when you’re blinded by your pain
แต่ยามใดที่เธอหมองมัวด้วยความเจ็บปวด
Can’t see your way safe through the rain
เธอมิอาจเห็นหรือซึ่งทางอันปลอดภัยท่ามกลางสายฝน
Thought of a still resilient voice
ความคิดจะยังคงเป็นเสียงๆเดิม
Says love is very near
ที่บอกว่ารักนั้นจะอยู่เคียงข้างเธอ
(*)
You will when you believe
ทุกสิ่งจะสำเร็จได้เมื่อยามที่คุณเชื่อมั่น
วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551
วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551
มารายห์ แครี
มารายห์ แครี เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1970 ที่ เมืองฮันติงตัน มลรัฐนิวยอร์ก เธอเป็นนักร้องและนักประพันธ์เพลงป็อปชาวอเมริกันระดับแถวหน้า โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 90 แครีถือได้ว่าเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จที่สุดในทศวรรษดังกล่าว เนื่องจากตามรายงานของนิตยสารบิลบอร์ด และเวิลด์ มิวสิก อวอร์ดส แครีเป็นศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดแห่งทศวรรษ และในปี ค.ศ. 2008 แครีเป็นศิลปินหญิงที่มีเพลงติดอันดับในบิลบอร์ดมากที่สุด คือ 18เพลง นอกจากนั้นยังได้รับรางวัลแกรมมี่ 5 รางวัล รางวัลอเมริกัน มิวสิก อวอร์ดส์ 8 รางวัล และรางวัลศิลปินแห่งทศวรรษจากนิตยสารบิลบอร์ดอีก 1 รางวัล แนวดนตรีของแครีได้รับอิทธิพลมาจากแนวดนตรีริธึ่มแอนด์บลูส์ ป็อป กอสเปล ฮิปฮอป แดนซ์ และร็อกแอนด์โรล แนวการร้องและการแต่งเพลงของเธอเป็นไปตามความสามารถในการร้องเพลงได้กว้างถึงห้าออกเตฟ นอกจากนี้เธอยังใช้เทคนิคที่เรียกว่า "เมลิสม่า" ในการร้องเพลงอีกด้วย นอกจากงานทางด้านนักร้องแครียังเป็นนักประพันธ์เพลง โปรดิวเซอร์ดนตรี ผู้กำกับมิวสิกวิดีโอ และนักแสดง นอกจากนั้น เธอยังมีส่วนช่วยเหลือองค์กรการกุศลหลาย ๆ องค์กร
ประวัติ
ชีวิตในวัยเด็กและครอบครัว ปี 1970 ถึง 1990
มารายห์ แครี เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1970 ที่ เมืองฮันติงตัน มลรัฐนิวยอร์ก เป็นบุตรคนที่สามและคนสุดท้องของนักร้องโอเปราและนักฝึกสอนการขับร้องชาวไอริชอเมริกัน ชื่อ แพทรีเชีย ฮิกกี้ กับ วิศวกรอากาศยานชาวเวเนซูเอล่า-แอฟริกัน ชื่อ อัลเฟรด รอย แครี แครีมีพี่สาวชื่อ แอลิสัน อายุมากกว่าเธอสิบปี และพี่ชายชื่อ มอร์แกน อายุมากกว่าเธอเก้าปี ชื่อของแครีนั้นไม่มีชื่อกลาง ส่วนชื่อ "มารายห์" มีที่มามาจากเพลง "(And They Call the Wind) Mariah" ในละครบรอดเวย์เรื่อง "Paint Your Wagon" จากการที่แครีมีผู้ปกครองมาจากชาติพันธุ์ที่ต่างกัน ครอบครัวของเธอจึงประสบกับปัญหาทางด้านการแบ่งแยกเชื้อชาติเสมอ ตั้งแต่การโดนดูถูก เมินเฉย หรือแม้กระทั่งถูกกระทำด้วยความรุนแรง เป็นผลให้ครอบครัวของแครีต้องย้ายที่อยู่ไปรอบ ๆ กรุงนิวยอร์กบ่อย ๆ เพื่อหาที่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า ความตึงเครียดภายในครอบครัวได้ทำให้บิดามารดาของเธอหย่าร้างกันในที่สุด ซึ่งขณะนั้น แครีมีอายุได้สามขวบเท่านั้น แครีและมอร์แกนอาศัยอยู่กับมารดาในขณะที่แอลิสันไปอาศัยอยู่กับผู้เป็นบิดา แครีไม่ค่อยได้ติดต่อกับบิดาของเธอเท่าใดนักยกเว้นช่วงวันหยุด แต่ก็น้อยลงเมื่อเธอมีอายุมากขึ้น แพทริเชียเลี้ยงดูแครีขณะที่เธอต้องทำงานสองถึงสามงานและก็ยังคงต้องย้ายที่อยู่อาศัยอยู่บ่อย ๆ ในเขตลองไอแลนด์ มารายห์ แครี เริ่มร้องเพลงเมื่ออายุได้สามขวบ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม่ของเธอเชื่อว่าเธอมีพรสวรรค์ในด้านการร้องเพลง จริง ๆ แล้วแพทริเชียชอบพาแครีไปดูการซ้อมโอเปราอยู่บ่อย ๆ แครีเริ่มแสดงต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกเมื่อเธออายุหกขวบและเริ่มประพันธ์เพลงครั้งแรกตอนกำลังศึกษาในชั้นประถม แครีเรียนจบจากโรงเรียนประถมโอลด์ฟิลด์และโรงเรียนมัธยมฮาร์เบอร์ฟิลด์สใน กรีนลอว์น นิวยอร์ก แต่มักจะขาดเรียนอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากเธอพยายามจะเข้าสู่วงการบันเทิง ทำให้เธอได้ฉายาว่า "มิราจ" (ภาพลวงตา) จากเพื่อน ๆ และเป็นเรื่องแปลกที่แครีไม่เคยเข้าร่วมวงร้องเพลงประสานเสียงของโรงเรียนเลย ต่อมา เธอได้รับงานเป็นนักร้องเสียงประสานให้กับ เบรนด้า เค. สตารร์ และในปี ค.ศ. 1988 ในช่วงนั้น แครีได้พบกับผู้บริหารระดับสูงจากค่ายเพลง "โคลัมเบีย" ชื่อ ทอมมี่ มอตโตล่า ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งซึ่งเพื่อนของเธอได้นำม้วนเทปตัวอย่างที่อัดเสียงของแครีตอนร้องเพลงเอาไว้ให้กับเขา เทปม้วนนั้นถูกเปิดในงานเลี้ยงและทอมมี่ก็ประทับใจกับสิ่งที่ได้ฟังเป็นอย่างมาก เขาจึงกลับไปที่งานเลี้ยงเพื่อตามหาแครี แต่เธอก็กลับไปแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็สามารถตามหาแครีจนพบและเซ็นสัญญาให้เข้ามาอยู่ในสังกัด เหตุการณ์ที่เหมือนกับเทพนิยายเรื่องซินเดอเรลล่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องเล่าในวงการบันเทิงเกี่ยวกับการปรากฏตัวของแครีสู่สายตาของสาธารณชน
ความสำเร็จไปทั่วโลก
มารายห์ แครี แต่งงานกับ ทอมมี่ มอตโตล่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทโซนี่ในขณะนั้น ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1993 ที่แมนฮัตตัน สหรัฐอเมริกา ต่อมาแครีออกผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 ที่ชื่อว่า Music Box อัลบั้มชุดนี้มียอดขายรวมมากกว่า 10 ล้านชุด โดยที่เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ล "Dreamlover" ที่ติดอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกานาน 8 สัปดาห์ และซิงเกิ้ลถัดมา เป็นเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการให้กำลังที่ชื่อ "Hero" ก็ติดอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา นาน 4 สัปดาห์ นิตยสารบิลบอร์ดกล่าวไว้ว่า "ช่างปวดใจเหลือเกิน เป็นการใช้สิ่งพื้นฐาน ง่ายๆ ของแครี เสียงของเธอช่างเป็นธรรมชาติกับเพลง" แต่ทางนิตยสารไทม์กล่าวทำนองว่า "อัลบั้ม Music Box นี้ ดูทำเป็นพอพิธี และขาดความน่าหลงใหล แครีสามารถเป็นนักร้องเพลงป็อป-โซล ที่ดีได้ แทนการพยายามทำให้เหมือนความสามัญอย่างซาลิเอรี" แครีได้ออกมาให้ความเห็นว่า "ทันทีที่คุณประสบความสำเร็จ ก็จะมีหลายๆ คนไม่ชอบอย่างนั้น ฉันทำอะไรไม่ได้จริงๆ สิ่งที่ฉันพอทำได้คือทำดนตรีในสิ่งที่ฉันเชื่อมั่น" คำวิจารณ์ส่วนใหญ่จะเกิดก่อนการทัวร์ Music Box Tour ในอเมริกาเล็กน้อย ส่วนซิงเกิ้ลที่ 3 เพลง "Without You" ซึ่งเป็นเพลงดังของแฮรี นิลล์สัน ที่เธอนำมาขับร้องใหม่ ก็เป็นเพลงแรกที่ไปติดอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักรได้เป็นเพลงแรก ช่วงปี ค.ศ.1994 แครีได้ร่วมงานกับ ลูเธอร์ แวนดรอส ในอัลบั้ม Songs โดยได้นำเพลง "Endless Love" เพลงเก่าของไลโอเนล ริชชี และ ไดอาน่า รอสส์ กลับมาร้องใหม่ ปลายปีเดียวกันนั้น แครียังได้ออกอัลบั้มคริสต์มาสอีก 1 ชุด โดยที่เธอได้มีส่วนร่วมในการประพันธ์เพลง "All I Want For Christmas Is You" ที่อยู่ในอัลบั้มชุดนี้ด้วย ซิงเกิ้ลนี้มียอดขายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นถึง 1.1 ล้านชุดด้วยกัน และยังคงเป็นซิงเกิ้ลที่ขายดีที่สุดของเธอในญี่ปุ่นอีกด้วย เว็บไซต์ All Music Guide วิจารณ์ไว้ว่า "ทำให้ดูเหมือนอุปรากรชั้นสูงในเพลง Oh Holy Night และทำเพลงแด๊นซ์คลับที่ดูน่ากลัวในเพลง 'Joy to the World'" อัลบั้มชุดนี้ก็ถือเป็นอัลบั้มเพลงคริสต์มาสที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล ในปี ค.ศ.1995 แครีได้ออกผลงานอัลบั้ม Daydream ซึ่งอัลบั้มชุดนี้เธอผสมผสานดนตรีแนวอาร์แอนด์บี ฮิปฮอป และป็อปเข้าด้วยกัน โดยอัลบั้มนี้มีเพลง "Fantasy" เป็นซิงเกิ้ลแรก ทำงานร่วมกับ โอล' เดอร์ตี บาสตาร์ด ศิลปินฮิปฮอป แครีพูดว่าทางค่ายโคลัมเบีย ต้นสังกัด ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงในชุดนี้ "ทุกๆ คนพูดเหมือนว่า 'คุณบ้าไปแล้วเหรอ' พวกเขารู้สึกกังวลมากในการเปลี่ยนแปลงสูตรเก่า ๆ" เพลงนี้ก็สามารถขึ้นอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาทันทีในสัปดาห์แรกที่เข้าตารางอันดับเพลง ซึ่งนับเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ทำสถิติได้เช่นนี้ และเพลงนี้ยังเป็นเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 ในสัปดาห์แรก เป็นเพลงที่ 2 ถัดจากเพลง "You Are Not Alone" ของ ไมเคิล แจ็กสัน อีกด้วย ส่วนซิงเกิ้ลที่ 2 เพลง "One Sweet Day" ที่ร่วมร้องกับวงแนวดนตรีอาร์แอนด์บีที่ชื่อ บอยซ์ ทู เม็น ก็ขึ้นอันดับ 1 นานที่สุดในประวัติศาสตร์บนตารางอันดับเพลงซิงเกิ้ลในสหรัฐอเมริกา นานถึง 16 สัปดาห์ และซิงเกิ้ลที่ 3 "Always Be My Baby" ที่ร่วมงานกับเจอร์เมน ดูปริ สามารถขึ้นอันดับ 1 เช่นกัน รวมถึง มียอดการเปิดออกอากาศมากที่สุดประจำปี ค.ศ.1996 ด้วย นิตยสารบิลบอร์ด พูดว่า อัลบั้ม Daydream ได้สร้างเสียงตอบรับที่ดีที่สุดแล้ว สำหรับอาชีพนักร้อง และนิวยอร์กไทม์ยังให้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดในปี 1995 และยังเขียนไว้ว่า " การตัดความเป็นป็อปลูกกวาดออกสู่ ความละเอียดปราณีต การเขียนเพลงของเธอได้ก้าวกระโดด ผลคือดูสบายขึ้น เซ็กซี่ขึ้น และดูลดความน่าเบื่อคุ้นหูออก นอกจากผลงานของเธอแล้ว ในช่วงปีนี้ แครียังได้ไปร่วมประสานเสียงให้กับเพลง "Everytime I close My Eyes" ของเบบี้เฟส อีกด้วย
สไตล์เพลง และ ความสามารถ
แครีเคยพูดว่าเธอได้ถูกกระตุ้นจากนักร้องอาร์แอนด์บีและโซลจากศิลปินอย่าง บิลลี ฮอลิเดย์,ซาราห์ วอห์น,แกลดีส์ ไนท์,อารีธา แฟรงคลิน,อัล กรีน และ สตีวี่ วันเดอร์ เธอได้รับอิทธิพลจากดนตรีแนวกอสเปล และนักร้องแนวกอสเปลที่เธอชื่นชอบคือ เดอะ คลาร์ก ซิสเตอร์ส,เชอร์ลีย์ เซซาร์ และ เอดวิน ฮอกินส์ แต่เมื่อแครีเริ่มหันมาทำดนตรีแนวฮิปฮอป เธอถูกกล่าวว่ากำลังทำเพลงที่นิยมในขณะนั้น เธอบอกกับนิตยสารนิวส์วีค ว่า "ไม่มีใครเข้าใจว่า ฉันเติบโตมากับดนตรีจำพวกนี้" โดยแครีออกมาเปิดเผยว่าเธอชื่นชอบศิลปินอย่าง เดอะ ซูการ์ฮิลล์ แกงก์,อีริค บี แอนด์ ราคิม,เดอะ วู-แทง แคลน,เดอะ โนทอเรียส บีไอจี และ ม็อบบ์ ดีพ ที่เธอได้ร่วมงานในเพลง "The Roof (Back in Time)" ตลอดอาชีพการร้องเพลง เสียงร้อง แนวทางดนตรี รวมถึงระดับความสำเร็จของเธอ ก็มักจะถูกเปรียบเทียบกับ วิทนีย์ ฮูสตัน และ เซลีน ดิออน ซึ่งก็มีคำวิจารณ์ของแกร์รี มูลฮอลแลนด์ไว้ว่า "เหล่าบรรดาเจ้าหญิง เสียงสูง เธอเป็นผู้ช่ำชองในการใช้เสียงกับเพลงป็อปฮิตติดตลาด" แต่ก็มีนักเขียนบางคนเขียนว่าเธอแตกต่างจาก วิทนีย์ ฮูสตัน และ เซลีน ดิออน ตรงที่เธอเขียนเพลงเองด้วย
เสียงร้อง
มารายห์ แครีเป็นนักร้องโคโลราทูราโซปราโน (coloratura soprano คือนักร้องระดับเสียงสูงสุดของผู้หญิงที่สามารถใช้เสียงได้หลากหลายด้วยเทคนิคอันแพรวพราวและร้องเสียงเฮดโทนวอยซ์ได้ เสียงเธอมีความกว้างถึงห้าออกเตฟและมีเอกลักษณ์จากความสามารถในการร้องเสียงสูงใน whistle register (เสียงร้องเสียงสูงที่สูงกว่า E6) โน้ตที่สูงที่สุดที่เธอร้องได้คือ G#7 (โน้ตที่สูงกว่า C7 ซึ่งเป็นโน้ตสูงสุดบนคีย์บอร์ดมาตรฐานอยู่ห้าเสียงครึ่ง หรือสูงกว่าโน้ตสูงที่สุดบนคีย์ของเปียโนซึ่งมีอยู่ 88 คีย์) เธอยังได้รับการบันทึกจากหนังสือกินเนสบุ๊คว่าเธอเป็นนักร้องที่สามารถร้องโน้ตได้สูงที่สุด แครีมักจะได้รับคำกล่าวอย่างผิด ๆ ว่ามีเสียงร้องถึงเจ็ดออกเตฟ สาเหตุเนื่องจากการกล่าวเกินจริงในสมัยที่เธอเพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ บางทีคำกล่าวนี้อาจจะเกิดจากการเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสามารถในการใช้เสียงของเธอในการร้องเสียงสูงใน whistle register โดยเฉพาะโน้ตเพลงในออกเตฟที่เจ็ด ในปี 2003 แครี ได้รับการลงคะแนนเสียงให้เป็นนักร้องเสียงดีที่สุดจากรายการเดอะ เกรทเท็ส วอยเซ็ส อิน มิวสิก (The Greatest Voices in Music) ของสถานีโทรทัศน์เอ็มทีวี และนิตยสารเบล็นเดอร์ของอเมริกา โดยจากการจัดอันดับ มีศิลปินดังอย่างวิทนีย์ ฮูสตัน ซึ่งอยู่อันดับสาม คริสติน่า อากีเลร่า อันดับห้า และ เซลีน ดิออน ซึ่งอยู่อันดับที่เก้า แครีให้ความเห็นกับแบบสำรวจนี้ว่า "นี่เป็นแบบสำรวจของคนรุ่นเอ็มทีวี แน่นอนว่าเป็นคำชมเชยที่ดี แต่ฉันก็ไม่รู้สึกอะไรเกี่ยวกับตัวฉันอย่างนั้น" สำหรับคำวิจารณ์ในด้านเสียงร้องของเธอ นิตยสารโรลลิงสโตนพูดไว้ว่า ในช่วงที่เธอออกอัลบั้ม Emotions "แครีได้พรสวรรค์นี้มา แต่ถึงวันนี้ โชคไม่ดีที่การร้องของเธอมันไกลไปเกินประทับใจกว่าที่เธอได้แสดงออกมา กับระดับเสียงร้องที่สูงเกินกว่ามนุษย์ ผ่านโน้ตเพลงที่เกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเธอกำลังร้องอยู่" นิวยอร์กเดลีนิวส์เขียนไว้ในปี 2005 ว่า "การร้องของเธอ เป็นเรื่องของการแสดง ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ที่เป็นแรงดลใจ การที่มีเสียงดี จะเป็นนักร้องที่ดีได้หรือไม่ ค่อนข้างยาก" และมีหลายคนตีความว่า เธอได้เปลี่ยนการร้องในลักษณะ มีลมหายใจออกมาด้วย ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 ถึงต้นยุค 2000 เสียงของเธอทรุดโทรมลง แต่เธอก็ยังคงบอกว่า "เสียงฉันก็ยังคงเป็นแบบนี้มาโดยตลอด" และในปี 2007 แครีอยู่ในอันดับนักร้องที่แย่ที่สุดตลอดการของนิตยสารคิว จากการสำรวจของผู้อ่าน โดยนิตยสารเขียนไว้ว่า "ถึงแม้ว่า มารายห์ แครีจะมีเสียงช่วงกว้างถึง 100 ออกเตฟและมีเสียงดังที่ทำให้รังนกตกจากต้นไม้ได้ แต่มันก็ไม่ดี"
ธีมและสไตล์เพลง
แครีมักจะเขียนเพลงที่มีเนื้อเพลงเกี่ยวกับความรัก บางครั้งเธอก็ได้เขียนเนื้อเพลงที่เกี่ยวกับการเหยียดสีผิว ความตาย ความหิวโหย และเรื่องของความเชื่อจิตและวิญญาณ โดยภาคดนตรี ได้ใช้เครื่องดนตรีอีเลคโทรนิค เช่น ดรัม แมชชีน,คีย์บอร์ด และ เครื่องสังเคราะห์เสียง โดยหลาย ๆ เพลงของเธอจะมีเปียโนประกอบอยู่ด้วย แครีเคยเรียนเปียโนตอนอายุ 6 ขวบ แต่เธอบอกว่าเธอไม่สามารถอ่านโน้ตได้แต่ชอบที่จะร่วมแต่งเพลงกับนักเปียโนเวลาแต่งเพลง และมันง่ายกว่าที่จะทดลองด้วยการรวมเมโลดี้และโครงสร้างคอร์ดด้วยวิธีนี้ การเรียบเรียงเพลงของแครีได้รับอิทธิพลจากสตีวี่ วันเดอร์ ที่เธอเคยยกยอว่าเป็นอัจฉริยะแห่งศตวรรษที่ 20 แครีเริ่มรีมิกซ์เพลงของเธอตั้งแต่ช่วงต้น และเป็นผู้นำที่จะทำการร้องใหม่ในรีมิกซ์ของเธอ โดยดีเจ เดวิด มอราเลสได้ร่วมงานกับเธออยู่หลายครั้ง เริ่มจากเพลง "Dreamlover"(ปี 1993) รีมิกซ์ของเพลงนี้ได้รับความนิยมในหมู่วงการเพลงเฮาส์โดยนิตยสารสแลนท์ ยกย่องให้เป็นเพลงเต้นรำที่ดีที่สุดเพลงหนึ่ง เพลง "Fantasy"(ปี 1995) เธอได้ร่วมแต่งรีมิกซ์ทั้งในรูปแบบแนวดนตรีฮิปฮอปและเฮาส์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ วีคลีได้ยกให้ทั้งสองรีมิกซ์ของเพลง "Fantasy" เป็นหนึ่งเพลงเยี่ยมที่สุดของเธอ แครียังคงร่วมงานการทำเพลงรีมิกซ์กับโปรดิวเซอร์อย่าง เดวิด โมราเลส, เจอร์เมน ดูปริ, จูเนียร์ วาสเควซ และ ดีเจ คลูย์
Mariah Carey
Mariah Carey(born March 27,1970)is an American singer-songwriter,record producer, and actress.She made her recording debut in 1990 under the guidance of Columbia Records executive Tommy Mottola,and became the first recording artist to have her first five singles top the U.S. Billboard Hot 100 chart.Following her marriage to Mottola in 1993,a series of hit records established her position as Columbia's highest-selling act.According to Billboard magazine,she was the most successful artist of the 1990s in the United States.
Following her separation from Mottola in 1997,Carey introduced elements of hip hop into her album work,to much initial success,but her popularity was in decline when she left Columbia in 2001,and she was dropped by Virgin Records the following year after a highly publicized physical and emotional breakdown,as well as the poor reception given to Glitter,her film and soundtrack project.In 2002,Carey signed with Island Records,and after a relatively unsuccessful period,she returned to pop music in 2005.
Carey was named the best-selling female pop artist of the millennium at the 2000 World Music Awards.She has had the most number-one singles for a solo artist in the United States(eighteen;second artist overall behind The Beatles),where,according to the Recording Industry Association of America,she is the third best-selling female and sixteenth overall recording artist.In addition to her commercial accomplishments,Carey has earned five Grammy Awards,and is well-known for her vocal range,power,melismatic style,and use of the whistle register.
Life and music career
Childhood and youth
Carey was born in Huntington,Long Island, New York.She is the third and youngest child of Patricia(née Hickey),a former opera singer and vocal coach of Irish descent,and Alfred Roy Carey,an aeronautical engineer of Afro-Venezuelan descent. Carey's parents divorced when she was three years old.While living in Huntington, racist neighbors allegedly poisoned the family dog and set fire to her family's car. After her parents' divorce,Carey had little contact with her father,and her mother worked several jobs to support the family.She spent much of her time at home alone, and turned to music to occupy herself.She began singing at around the age of three, when her mother began to teach her after Carey imitated her mother practicing Verdi's opera Rigoletto in Italian.
She graduated from Harborfields High School in Greenlawn,New York.She was frequently absent due to her work as a demo singer for local recording studios;her classmates consequently gave her the nickname "Mirage".Her work in the Long Island music scene gave her opportunities to work with musicians such as Gavin Christopher and Ben Margulies,with whom she co-wrote material for her demo tape.After moving to New York City,Carey worked part-time jobs to pay the rent and completed five hundred hours of beauty school.Eventually,she became a backup singer for Puerto Rican freestyle singer Brenda K. Starr.
In 1988,Carey met Columbia Records executive Tommy Mottola at a party,where Starr gave him Carey's demo tape.Mottola played the tape when leaving the party and was impressed.He returned to find Carey,but she had left.Nevertheless,Mottola tracked her down and signed her to a recording contract.This Cinderella-like story became part of the standard publicity surrounding Carey's entrance into the industry.
Worldwide popularity
Carey and Tommy Mottola had become involved romantically during the making of her debut album,and in June 1993,they were married.
Kenneth "Babyface" Edmonds consulted on the album Music Box,which was released later that year and became Carey's most successful worldwide.It yielded her first UK Singles Chart number-one,a cover of Badfinger's "Without You",and the U.S. number-ones "Dreamlover" and "Hero".Billboard magazine proclaimed it "heart-piercing easily the most elemental of Carey's releases,her vocal eurythmics in natural sync with the songs",but TIME magazine lamented Carey's attempt at a mellower work,"[Music Box] seems perfunctory and almost passionless.Carey could be a pop-soul great;instead she has once again settled for Salieri-like mediocrity."In response to such comments,Carey said,"As soon as you have a big success,a lot of people don't like that.There's nothing I can do about it.All I can do is make music I believe in."Most critics slighted the opening of her subsequent U.S. Music Box Tour.
In late 1994,after her duet with Luther Vandross on a cover of Lionel Richie and Diana Ross's "Endless Love" became a hit,Carey released the holiday album Merry Christmas.It contained cover material and original compositions such as "All I Want for Christmas Is You",which became Carey's biggest single in Japan,and,in subsequent years,emerged as one of her most perennially popular songs on U.S.radio.Critical reception of Merry Christmas was mixed,with Allmusic calling it an "otherwise vanilla set pretensions to high opera on 'O Holy Night' and a horrid danceclub take on 'Joy to the World'".It became the most successful Christmas album of all time.
In 1995,Columbia released Carey's fifth album, Daydream,which combined the pop sensibilities of Music Box with downbeat R&B and hip hop influences.A remix of "Fantasy",its first single,featured rapper Ol' Dirty Bastard.Carey said that Columbia reacted negatively to her intentions for the album:"Everybody was like 'What,are you crazy?'.They're very nervous about breaking the formula."It became her biggest-selling album in the U.S.,and its singles achieved similar success — "Fantasy" became the second single to debut at number one in the U.S.and topped the Canadian Singles Chart for twelve weeks,"One Sweet Day"(a duet with Boyz II Men) spent a record-holding sixteen weeks at number one in the U.S.,and "Always Be My Baby"(co-produced by Jermaine Dupri) was the most successful on U.S.radio in 1996,according to Billboard magazine.Daydream generated career-best reviews for Carey,and publications such as The New York Times named it one of 1995's best albums;the Times wrote that its "best cuts bring pop candy-making to a new peak of textural refinement.Carey's songwriting has taken a leap forward,becoming more relaxed,sexier and less reliant on thudding clichés".The short but profitable Daydream World Tour augmented sales of the album,which received six Grammy Award nominations.
Artistry
Carey has said that from childhood she was influenced by R&B and soul musicians such as Billie Holiday,Sarah Vaughan,Gladys Knight,Aretha Franklin,Al Green and Stevie Wonder.Her music contains strong influences of gospel music, and her favorite gospel singers include The Clark Sisters,Shirley Caesar and Edwin Hawkins.When Carey incorporated hip hop into her sound,speculation arose that she was making an attempt to take advantage of the genre's popularity,but she told Newsweek,"People just don't understand.I grew up with this music".She has expressed appreciation for rappers such as The Sugarhill Gang,Eric B.& Rakim,the Wu-Tang Clan,The Notorious B.I.G.and Mobb Deep,with whom she collaborated on the single "The Roof (Back in Time)"(1998).
During Carey's career,her vocal and musical style,along with her level of success, has been compared to Whitney Houston and Celine Dion.Carey and her peers,according to Garry Mulholland,are "the princesses of wails virtuoso vocalists who blend chart-oriented pop with mature MOR torch song".In She Bop II:The Definitive History of Women in Rock,Pop and Soul(2002),writer Lucy O'Brien attributed the comeback of Barbra Streisand's "old-fashioned showgirl" to Carey and Dion,and described them and Houston as "groomed,airbrushed and overblown to perfection".Carey's musical transition and use of more revealing clothing during the late 1990s were,in part, initiated to distance herself from this image,and she subsequently said that most of her early work was "schmaltzy MOR".Some have noted that unlike Houston and Dion, Carey co-writes her own songs,and the Guinness Rockopedia(1998) classified her as the "songbird supreme".
Despite the fact that Carey is often credited with co-writing her material,she has also been accused of plagiarism on several occasions. Many of these cases were eventually settled out of court.
Voice
Carey is said to be able to cover all the notes from the alto vocal range leading to those of a coloratura soprano,and her vocal trademark is her ability to sing in the whistle register.She has cited Minnie Riperton as the greatest influence on her singing technique and from a very early age,she attempted to emulate Riperton's high notes,to increasing degrees of success as her vocal range expanded.At one point,The Guinness Book of Records recorded that there was no other singer who could hold a higher note than Carey.In 2003,her voice was ranked first in MTV and Blender magazine's countdown of the 22 Greatest Voices in Music,as voted by fans and readers in an online poll.Carey said of the poll,"What it really means is voice of the MTV generation.Of course,it's an enormous compliment,but I don't feel that way about myself."
Carey's voice has come under considerable scrutiny from critics who believe that she does not communicate the message of her songs effectively.Rolling Stone magazine said in 1992,"Carey has a remarkable vocal gift,but to date,unfortunately,her singing has been far more impressive than expressive at full speed her range is so superhuman that each excessive note erodes the believability of the lyric she is singing."The New York Daily News wrote in 2005 that Carey's singing"is ultimately what does her in.For Carey, vocalizing is all about the performance,not the emotions that inspired it.Does having a great voice automatically make you a great singer? Hardly."Some interpreted Carey's decision to utilize what she described as "breathy" vocals in some of her late 1990s and early 2000s work as a sign that her voice was deteriorating,but she has maintained that it "has been here all along".An article in VIBE magazine indicated that Carey's singing style highlights weaknesses in other aspects of her music,"The impressiveness of her voice as well-as her tendency to oversing-make the blandness of her material all the more flagrant."
วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2551
Toulouse
Toulouse,(en occitan:Tolosa [tuˈluzo]),est une ville du sud-ouest de la France. C'est la préfecture de la Haute-Garonne et de la région Midi-Pyrénées.
Avec 437100 habitants en 2005,elle est la quatrième commune de France en termes de population.Son agglomération regroupe 891 000 habitants et son aire urbaine 1133000.
Ville à l'architecture caractéristique,Toulouse est surnommée la «ville rose» en raison de la couleur du matériau de construction traditionnel local,la brique de terre cuite.Autre surnom «fleuri»:la «Cité des violettes».Il existe une Confrérie de la violette à Toulouse,où la production de cette fleur était très importante.La Violette est l'une des récompenses décernées par l'Académie des Jeux floraux de Toulouse.
Dans le passé,elle était appelée la «Cité Mondine» (la Ciutat Mondina en occitan), en référence à la dynastie des comtes de la ville qui se sont souvent nommés Raymond.
Berceau de la firme Airbus,Toulouse est aujourd'hui une technopole européenne qui regroupe de nombreuses industries de pointe en matière d'informatique et de spatial, ainsi que de nombreux instituts de recherche.C'est également une ville étudiante,la troisième de France avec 97 000 étudiants,dotée d'équipements culturels de prestige comme le centre des congrès,la médiathèque José-Cabanis,le Zénith,le musée d'art moderne et contemporain des Abattoirs,la cité de l'Espace ou encore le Théâtre national de Toulouse(TNT).
La ville rose connaît une forte attraction démographique et est considérée comme une des grandes villes européennes intermédiaires comme Lyon,Marseille,Florence, Hambourg ou Zurich.Si la croissance démographique se poursuit au rythme actuel,son agglomération entrera bientôt dans le cercle des agglomérations françaises de plus d'un million d'habitants.En 2005,une étude la classe deuxième ville française derrière Lyon pour sa qualité de vie selon une dizaine de critères pré-définis.
La devise de la ville est «Per Tolosa totjorn mai» («Pour Toulouse,toujours plus»).
วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551
มีเรื่องดีๆ มาแบ่งปันกันนะเพื่อนๆ(น่ารักมาก)
<
ก็เป็นภาพที่มีความหมายและน่ารักมากๆๆเลยเอามาแปะไว้ เพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อนนะ
If you find the way you can't get through. Remember that my moral support belongs to you.
ถ้าเธอไปเจอหนทางที่เป็นอุปสรรคหาทางออกไม่เจอหรือขวากหนามที่มากั้นเธอไว้
จำไว้ว่ายังมีเพื่อนคนนี้ (เราเองแหละ)คอยเป็นกำลังใจอยู่เคียงข้างเธอจากนี้และตลอดไปนะ
รักเพื่อนๆ ม.5/6 ทุกคน
ก็เป็นภาพที่มีความหมายและน่ารักมากๆๆเลยเอามาแปะไว้ เพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อนนะ
If you find the way you can't get through. Remember that my moral support belongs to you.
ถ้าเธอไปเจอหนทางที่เป็นอุปสรรคหาทางออกไม่เจอหรือขวากหนามที่มากั้นเธอไว้
จำไว้ว่ายังมีเพื่อนคนนี้ (เราเองแหละ)คอยเป็นกำลังใจอยู่เคียงข้างเธอจากนี้และตลอดไปนะ
รักเพื่อนๆ ม.5/6 ทุกคน
วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551
เบื้องหลังของเรา Yellow 5/6
ได้ที่ 3 ดีใจมากเลย ถึงแม้ไม่ต้องได้ที่ 1 ก็ตาม
นี้แหละ เด็กอ๊ง-ฟร็องเซ่ 5/6
เห็นอ.โจ้อยู่ข้างๆ พวกเราก็เลยลากอ.มาถ่ายรูปด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)